แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Reviews แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Reviews แสดงบทความทั้งหมด

Review: Thor: The Dark World (2013)

Review: Thor: The Dark World เทพเจ้าสายฟ้าโลกาทมิฬ

อีกหนึ่งหนังซูเปอร์ฮีโร่ในปีนี้ของค่ายมาร์เวลที่จะมาต่อยอดความสำเร็จหลังจาก Iron Man 3 แน่นอนว่าผมคาดหวังว่าครั้งนี้เทพเจ้าสายฟ้าจะมอบอะไรใหม่ๆ ให้ดูอย่างแน่นอน แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะกลายเป็นว่าการแสดงโลกิคือสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดในภาคนี้ครับ

Review: Odd Thomas (2013) เห็นความตาย

Review: Odd Thomas (2013) เห็นความตาย

หนังระทึกขวัญแนวลึกลับที่สร้างจากนิยายขายดีนิวยอร์ค ไทม์ส ปี 2003 ของดีน คูนท์ซ (Dean Koontz) ในชื่อเรื่องเดียวกัน Odd Thomas มาเป็นหนังจากฝีมือผู้กำกับสตีเฟ่น ซอมเมอร์ส (Stephen Sommers) ที่เคยสร้างผลงานเด่นๆ อย่าง Deep Rising, The Mummy, Van Helsing และ G.I. Joe ดังนั้น ผมจึงคิดว่า Odd Thomas น่าจะมีความสนุกตื่นเต้นไม่แพ้หนังเรื่องก่อนๆ ของเค้าเลย แม้ว่าดารานำในเรื่องจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาในบ้านเรานัก

Review: Gravity (2013) เสียดายที่ได้ไปดู

Review: Gravity (2013) เสียดายที่ได้ไปดู

หนังไซไฟทริลเลอร์มาแรงแห่งปี Gravity (กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง) ที่โปรโมทหนังได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม ด้วยการปล่อยคลิปยั่วน้ำลายมาหลายชุด ซึ่งเป็นซีนที่น่าตื่นเต้น และชวนให้เราได้ลุ้นว่าหนังเรื่องนี้ต้องระทึกอย่างยิ่ง ผมคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ผมลืมหายใจแบบไม่รู้ตัวไปชั่วขณะ และยิ่งหนังเปิดตัวสัปดาห์แรกได้เป็นอันดับ 1 ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น พอได้วันว่างผมมีโอกาสได้ไปดูจึงจัดโรงหนัง 3D ซะเลย กะจะทะยานเข้าสู่ห้วงอวกาศกันเลยทีเดียว

Review: The Wolverine (2013)

ตัวอย่างหนัง The Hunger Games: Catching Fire

เทรนด์หนังซุเปอร์ฮีโร่กำลังมาแรงในยุคนี้ ทำให้เรามีโอกาสได้ชมกรงเล็บสะท้านโลกันตร์อีกครั้ง หนึ่งในซุเปอร์ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดของ X-Men นั่นคือวูล์ฟเวอรีน เจ้าของกรงเล็บอะดาแมนเที่ยม โลหะผสมที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างกายกำยำล่ำสัน ดุร้ายไม่ต่างจากหมาป่า มีร่างกายที่สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว และเป็นอมตะ ผมเคยสงสัยว่าแล้วใครมันจะมาสู้ได้ฟะ เก่งเวอร์ซะขนาดนี้ แต่ใน The Wolverine ทำให้เราได้เห็นแล้วว่าความไม่จีรังยั่งยืนเกิดขึ้นได้กับทุกสรรพสิ่ง......ไม่เว้นแม้แต่วูล์ฟเวอรีน


The Wolverine ภาคนี้มีเนื้อเรื่องต่อจากเหตุการณ์ใน X-Men: The Last Stand แน่นอนครับเพราะโลแกน หรือพี่วูล์ฟเวอรีนของเรายังคงนอนฝันร้ายถึงจีน เกรย์ สาวคนรักเก่าที่ตายไปแล้ว เรามักจะได้เห็นโลแกนนอนฝันร้ายอยู่ทุกภาคครับ เพราะอยู่มานานกว่าร้อยปีแล้ว ความทรงจำที่ฝังลึกทำให้เกิดฝัน และตนเองเป็นอมตะนั่นเองจึงได้เห็นแต่เพื่อนรอบข้างตายไป ผมว่ามันคือความทรมานมากๆ ถ้าหากไม่ได้เป็นเองก็คงไม่เข้าใจ เพราะมันเหมือนเป็นเดจาวู เหตุการณ์เดิมๆ ที่โลแกนไม่อยากให้มันเกิดมันก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่สามารถหยุดมันได้ มันแน่นอก แต่ยกไม่ออก จนกระทั่งวันนึงมีสาวญี่ปุ่นมาพร้อมกับดาบซามูไร พาโลแกนไปพบกับเจ้านาย ผู้ซึ่งโลแกนเคยช่วยเหลือไว้ในอดีต ยาชิดะที่กำลังจะตายเพราะอายุไขใกล้จะหมด แต่ยังคงไม่ปลงไม่ละสังขารที่ไม่เที่ยง เห็นความอมตะเป็นสิ่งที่หอมหวานและอยากลิ้มลอง เพื่อจะได้อยู่ปกป้องอาณาจักรธุรกิจที่ตนเองสร้างไว้ อยากให้โลแกนยอมมอบพลังอมตะให้ ปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่โลแกนพบมาตลอดชีวิต โดยความช่วยเหลือของ ดร.กรีน สาวสวยที่มีเลศนัยแอบแฝง

โดยรวมแล้วภาคนี้โอเคสำหรับผมครับ หนังดูสนุกตื่นเต้น ดูเอาเพลินได้ถ้าไม่คิดอะไรมาก เราจะได้เห็นโลแกนในสภาพที่ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา มีบาดแผลมีการบาดเจ็บที่จะไม่เยียวยาฟื้นฟูได้เร็วอีกต่อไป ทำให้ดูตื่นเต้นว่าโลแกนอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ถ้ายังคงบู๊ตะลุยแนวหัวหอกทะลวงฟันเหมือนภาคก่อนๆ สิ่งนึงที่ประทับใจคือฉากต่อสู้ไล่ล่าตั้งแต่ในงานศพจนไปถึงบนรถไฟฟ้าหัวกระสุนครับ ตื่นเต้นดี เป็นช่วงที่สนุกที่สุดของหนังก็ว่าได้ อีกอย่างที่ต้องยกนิ้วให้เลยคือนางเอกสวยครับ (^ ^") มาริโกะหลานสาวของยาชิดะ ผู้ซึ่งเคยเป็นแชมป์ปามีดของหมู่บ้าน ตกเป็นเป้าหมายของแก๊งค์ยากูซ่า โลแกนจึงโดดเข้ามาปกป้องเธอจนเกือบจะตายแทน(เพราะโดนกระสุนปืนไปหลายนัด) และฉากที่ทำให้เราได้ขำและผ่อนคลายเล็กน้อยอย่างในโรงแรมก็เป็นส่วนนึงที่ไม่ทำให้หนังดูเครียดเกินไป

ข้อเสียของหนังก็คือพี่วูล์ฟเวอรีนของเราก็ไม่กลัวเกรงใดๆ ครับ ยังตะลุยดะราวกับว่าเป็นอมตะ มีลูกปืนฝังอยู่ในร่างก็ยังไล่ฆ่าแก๊งค์ยากูซ่าได้ น่าแปลกเหมือนกันที่ภาคก่อนๆ เราเคยเห็นโลแกนโดนลูกปืนยิงฝังหัวมาแล้วแต่ก็รอดมาได้เพราะพลังฟื้นตัวที่รวดเร็ว แต่พอภาคนี้ไม่ได้เป็นอมตะแล้วลูกกระสุนที่พุ่งใส่ก็ไม่เข้าหัวอีกเลย โดนทั้งขา ทั้งแขน ทั้งหน้าอกด้านขวา ที่ท้องก็โดน เออแปลกดี สงสัยยากูซ่าที่นี่ยิงปืนไม่แม่น มันเลยทำให้ดูเป็นหนังจนเกินไป ไม่เหมือนกับว่ากำลังเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ ความรู้สึกคือเหมือนเดิม ไม่ตายแน่นอน นอกจากนี้ยังเสียดายที่บทหนังไม่ส่งให้การแสดงของมาริโกะเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างที่ควรจะเป็น เช่นทำไมเธอถึงพยายามจะฆ่าตัวตาย ทำไมถึงได้หลงรักกับโลแกนได้ เพราะมันไม่มีบรรยากาศโรแมนติกให้ได้ปิ๊งกันเลย กลายเป็นว่าปุปปัปก็ลงเอยกินตับกันเสร็จสรรพแล้ว อีกเรื่องนึงคือบทบาทของไวเปอร์ และยูคิโอะที่ดูจะมีบทบาทน้อยเหลือเกิน ทั้งๆ 2 คนนี้คือตัวละครสำคัญในจักรวาลของ X-Men จึงเสียดายที่น่าจะมีอะไรๆ ให้ดูมีความสำคัญมากกว่านี้ สรุป 7/10 สำหรับ The Wolverine ครับ ดูแบบธรรมดาก็พอแล้วครับ ไม่ต้องดู 3D หรอกครับ

Review: Man of Steel บุรุษเหล็กซุเปอร์แมน

Review: Man of Steel


หนังซุเปอร์ฮีโร่ขวัญใจมหาชน หนึ่งในซุเปอร์ฮีโร่คนแรกๆ ของโลกที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1938 จากงานเขียนของ Jerry Siegel และ Joe Shuster กลายมาเป็นหนังมาแล้วหลายต่อหลายภาค แต่นอกจากภาคแรกแล้วที่เหลือก็ดูไม่ค่อยจะเปรี้ยงปร้าง จนกระทั่งปี 2013 การร่วมมือกันระหว่าง 2 ผู้กำกับชั้นยอดจับมือกันรีเมค Superman ในชื่อ Man of Steel โดยกำหนดทิศทางใหม่ ตีความใหม่ นิยามใหม่สำหรับซุเปอร์แมน ที่จะไม่ใช่หนุ่มล่ำบึ๊กใส่กางเกงในสีแดง และเปลี่ยนเสื้อผ้าในตู้โทรศัพท์อีกต่อไป


หนังเรื่องนี้ได้รับการคาดหวังสูงจากแฟนๆ และนักวิจารณ์หนังทั่วโลก เพราะภาคล่าสุดในปี 2006 นั้นล้มเหลว ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะนำกลับมาทำหนังอีก แต่การที่ได้ผู้กำกับอย่าง Zack Snyder และ Christopher Nolan จับมือกันเพื่อรีเมคหนังขึ้นมาใหม่ โดยตีความและกำหนดทิศทางให้หนังใหม่ หนังได้ใส่รายละเอียดในด้านที่มาของ Superman และพยายามบอกให้เรารู้ว่ารัวอักษร "S" ที่อยู่บนปกเสื้อไม่ได้ย่อมาจาก Superman แต่มันหมายถึงสิ่งอื่นที่ทำให้ Kal-El หรือ Superman ต้องอยู่เพื่อช่วยโลกมนุษย์ สิ่งที่ Kal-El ต้องแบกรับไว้ตั้งแต่ยังคงเป็นทารกตัวน้อย และคอยเวลาที่จะได้ใช้ความสามารถของตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และชี้นำให้มวลมนุษย์เป็นไปในทางที่ดี นี่คือสิ่งที่ชัดเจนมากสำหรับทิศทางใหม่ของหนังที่เดิมทีเรารู้เพียงแค่ "S" ย่อมาจาก Superman แต่กับ Man of Steel แล้ว ตัว "S" มันมีความหมายที่ลึกซึ้ง เปรียบเสมือนคุณงามความดีที่ Jor-El พ่อบังเกิดเกล้าคอยชี้ทางให้กับ Kal-El ได้สำนึกอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นพลังการแสดงในบทบาทของ "พ่อ" และ "ผู้นำครอบครัว" ของ 2 นักแสดงคุณภาพอย่าง Russel Crowe และ Kevin Costner ที่ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับหายนะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ครอบครัว คนรัก ลูก ต้องอยู่รอด และพร้อมแลกด้วยชีวิตโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด

General Zod

สิ่งนึงที่ทำให้ผมอินไปกับเรื่องนี้ คือบทบาทของ Michael Shannon ที่รับบทเป็นนายพลซ๊อด ตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ ด้วยหลักเหตุและผล ผมคิดว่านายพลซ๊อดไม่ใช่คนที่เลวร้ายแต่อย่างใด แต่เป็นผู้นำนักรบที่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เผ่าพันธุ์ของตนอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม ต่อให้ต้องเป็นปีศาจ เค้าก็จะทำ ด้วยใจที่จงรักภักดีในความเป็นชาวคริปตัน และไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์ของตนต้องสูญพันธุ์ ในสายตาของมนุษย์อาจมองว่านายพลซ๊อดคือผู้รุกราน แต่สำหรับลูกน้องผู้ติดตามนายพลซ๊อด เค้าคือผู้นำที่แข็งแกร่งและพร้อมจะทำตามบัญชาอย่างเคร่งครัด การมาของนายพลซ๊อดจึงดูเป็นเรื่องหายนะของโลก ลองคิดดูว่าถ้าหากเค้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ซุเปอร์แมนกลายเป็นพวกเดียวกันได้ หรือเอาบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญต่อเผ่าพันธุ์คริปตันไปจากซุเปอร์แมนได้ จักรวาลทั้งหมดจะตกเป็นของเผ่าพันธุ์คริปตันอย่างไม่ต้องสงสัยครับ แต่โชคดีของมนุษย์ที่ซุเปอร์แมนไม่เอาด้วย และมองว่าเรื่องทั้งหมดคือกรรมที่เกิดจากสิ่งที่ชาวคริปตันทำเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ทำให้ทั้งซุเปอร์แมนและนายพลซ๊อดจำต้องอยู่คนละข้าง เพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองยึดถือ

ในด้านเอฟเฟคต์ เรื่องนี้อลังการงานสร้างสมกับเป็นหนังซุเปอร์แมนครับ ฉากการต่อสู้ที่ดูดุดัน ทรงพลัง ว่องไว รวดเร็วจนตามองแทบไม่ทัน ผมไม่แน่ใจว่าเพราะคริสโตเฟอร์ โนแลน กับแซ๊ค สไนเดอร์ อยากให้ทิศทางของฉากต่อสู้ของหนังเปลี่ยนไปจากเทคนิคเดิมๆ อย่าง "Bullet Time" ที่ใช้กันมาตั้งแต่หนัง The Metrix รึเปล่า(ภาพสโลโมชั่นหรือหยุดการเคลื่อนไหว แต่เปลี่ยนมุมกล้อง) แต่ที่แน่ๆ ผมว่ามันน่าสนใจและให้ความรู้สึกที่ระทึกมากๆ ว่าแต่ละครั้งที่ต้องถูกกระแทกลอยทะลุภูเขาลูกนั้นลูกนี้แตกเป็นเสี่ยง ซุเปอร์แมนของเราจะลุกขึ้นได้อีกมั้ย ที่สำคัญคุณต้องไม่กระพริบตาโดยเด็ดขาดไม่งั้นไม่รู้ว่าใครชกใครกระเด็น

สำหรับนางเอกของเรื่อง เอมี่ อดัมส์ ในบทของโลอิส เลน เหยี่ยวข่าวสาวสวยรวยเสน่ห์ก็เหมาะสมแล้วที่จะทำให้ซุเปอร์แมนของเราหลงรัก เธอดูสวยและเซ็กซี่โดยไม่ต้องแต่งชุดเซ็กซี่หรือนุ่งน้อยห่มน้อยเลยครับ แค่ชุดสาวออฟฟิศก็ดูดีแล้ว

ข้อเสียของเรื่องก็เห็นจะเป็นช่วงเล่าเรื่องบางจังหวะที่เร็วเกินไป ไม่ได้บอกความเป็นมาแต่จู่ๆ มาโผล่เป็นแบบนี้ได้ซะงั้น และที่สำคัญมีสิ่งนึงที่ผมเห็นเป็นข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่อยากสปอยล์ ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นครับ แต่ข้อเสียทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้อรรถรสของหนังเสียหายไปเท่าไหร่ ผมว่าถ้าคุณดูแล้วยังไงๆ ก็ต้องฟินไปตามหนัง อารมณ์ของหนัง และเสียงดนตรีประกอบที่ Hans Zimmer ทำสกอร์ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ

Review: Now You See Me อาชญากลปล้นโลก

Review: Now You See Me

หนังปล้นสะท้านโลกของผู้กำกับหลุยส์ เลเตอเรียร์ ที่ทำตัวอย่างหนังออกมาน่าดูชมและน่าสนใจมาก กับการใช้มายากลขั้นเทพในการหลอกตาคนดู และนำไปสู่การปล้นครั้งใหญ่ ที่พอเราได้ดูตัวอย่างหนังแล้วต้องอึ้ง ทำให้ผมคาดหวังกับหนังเรื่องนีไว้สูงมาก หลังจากที่เคยดูหนังมายากลอย่าง The Prestige ที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างแล้วค้างอีก จึงคิดว่า Now You See Me น่าจะทำให้ผมต้องอ้าปากค้างได้อีกครั้ง


หนังเรื่องใหม่ของผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์หนังดังอย่าง Transporter ที่โปรโมตหนังได้อย่างน่าสนใจเอามากๆ ที่ใช้การแสดงมายากลมาเป็นตัวชูโรง ซึ่งเป็นฉากบังหน้าสำหรับการปล้นครั้งใหญ่ หนังเรื่องนี้ได้ตัวนักมายากลระดับโลกตัวจริงอย่าง เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ มาเป็นที่ปรึกษา ขณะที่นักแสดงนำทุกคนที่เล่นเป็นนักมายากล "จตุรอาชา" เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก ที่ดูจะเป็นดาราชูโรงของหนังเรื่องนี้ แต่การแสดงที่น่าประทับใจของเค้ามีเพียงฉากที่อยู่ในห้องสอบสวน และการลวงเอาข้อมูลเท่านั้น ขณะที่วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน ซึ่งเป็นนักมายาจิต ดูจะประสบความสำเร็จที่สุดในการเข้าถึงตัวละครที่ถนัดการสะกดจิตคนดู และสามารถสร้างความอึ้ง ทึ่ง ให้เราได้ทุกครั้งที่เค้าร่ายมนต์สะกด ส่วนอิสล่า ฟิชเชอร์ก็ดูสวยและดึงดูดความสนใจได้ดี ถ้ามีผู้ช่วยนักมายากลสวยๆ แบบนี้จะเบนความสนใจได้แน่นอนครับ สุดท้ายคือเดฟ ฟรังโก้ ต้องบอกว่าซีนการต่อสู้ด้วยมายากลเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเรื่องแล้ว และผมรู้สึกว่ามันตื่นเต้นยิ่งกว่าฉากแสดงมายากลทั้งหมดของเหล่า "จตุรอาชา" ซะอีก ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ อย่างมาร์ค รัฟฟาโล ก็เป็นตัวสำคัญที่ทำให้มายากลของเหล่าอาชาดูเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเหนือชั้น ส่วนเมลานี่ โลรองต์ เป็นสาวฝรั่งเศสที่มีเสน่ห์มากๆ จนเราตกหลุมพรางของหนังไปได้อย่างง่ายดาย มอร์แกน ฟรีแมน นักแบไต๋มายากลที่รอบรู้และพร้อมเปิดเผยเคล็ดของนักมายากลทุกคน ไมเคิล เคน ก็สลัดคราบของอัลเฟรดไปได้หมด กลายเป็นนายทุนโลภมากไปได้อย่างสมบทบาท

หนังเดินเรื่องได้เร็ว พยายามเล่าถึงความเป็นมาของนักมายากลและพวกแบไต๋มายากล มีการสร้างฉากสำหรับมายากลที่เอาไว้หลอกคนดูหลายฉาก ทั้งนี้เพราะปกติการแสดงมายากลที่น่าตื่นเต้น ทำให้คนต้องคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยคิดว่าจะเผยไต๋ของมายากลนั้นได้ หนังเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน มันหลอกเราๆ ท่านๆ มาตั้งแต่โปสเตอร์หนังแล้วครับ แม้ว่าจะใช้เหล่านักมายากลจตุรอาชาเป็นชูโรง ตัวเดินเรื่อง แต่จริงๆ หนังเดินเรื่องด้วยตัวละครที่เราคาดไม่ถึง และทุกคนที่ดูหนังจะถูกหลอกโดยไม่รู้ตัวครับ หนังจะให้เราดูมายากลแต่ละอัน และเฉลยให้เราดูทีละอัน ก่อนที่จะเฉลยปมเรื่องทั้งหมดช่วงท้ายเรื่อง ที่ทำให้เราได้อึ้งครับ แต่น่าเสียดายที่ความสนุกของมันไม่สุด ไม่สุดจริงๆ หนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่ดี แต่มันควรจะรู้สึกสนุกมากกว่านี้ มันรู้สึกไม่อิ่ม กินอร่อยแต่ไม่อิ่ม พอจบเรื่องแล้วก็ไม่รู้สึกว่าประทับใจ หรือว่าผมจะตั้งความหวังไว้สูงเกินไป แต่โดยรวมแล้วหนังทำได้ตามคำลวงของหนังที่ว่า
"Look closely, because the closer you think you are the less you'll actually see."
"จงมองดูอย่างใกล้ชิด เพราะยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมองไม่เห็นความจริงมากเท่านั้น" แน่นอนครับ ตัวอย่างหนังหลอกว่าน่าสนุกที่สุด แต่เอาเข้าจริงไม่สนุกอย่างที่ผมหวังไว้ แต่อย่างไรก็ตามหลุยส์ เลเตอเรียร์ก็หลอกคนดูได้สำเร็จครับ 7/10 ครับสำหรับเรื่องนี้

Review: Welcome to the Punch

Review: Welcome to the Punch

หนังทริลเลอร์สืบสวนจากประเทศอังกฤษและได้ 2 นักแสดงเป็นตัวชูโรงอย่างเจมส์ แมคเอวอย และมาร์ค สตรอง มาประชันบทกัน โดยฝีมือผู้กำกับอังกฤษ อีแรน ครีวี่ โดยก่อนที่ผมจะได้ดูหนังเรื่องนี้ก็ได้ข้อมูลว่าบทหนังเรื่องนี้อยู่ในลิสต์ของหนังที่ดีที่สุดที่ยังไม่ได้สร้างในอุตสาหกรรมหนังบริติช ประกอบกับชื่อหนังในภาษาไทย "ย้อนสูตรล่า ผ่าสองขั้ว" ฟังดูน่าสนุกมาก จึงคิดว่าหนังจะต้องออกมาไล่ล่ากันระทึกสุดๆ เฉือนคมกันไม่ยั้งแน่เลย


หนังเล่าถึงการไล่ล่าตัวอาชญากรนามกระฉ่อน เจคอบ สเติร์นวู้ด โดยตำรวจหนุ่มไฟแรง แม๊กซ์ เลวินสกี้ ชื่อหนังบอกเหมือนเป็นการไล่ล่ากันระหว่างตำรวจกับโจร แต่เอาเข้าจริงไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะมันมีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกระหว่างแม๊กซ์และเจคอบ ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวทำนองตำรวจดีตำรวจเลว และการเปิดโปงเรื่องใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดออกมา ไม่ใช่การหักเหลี่ยมเฉือนคมอย่างที่ผมคิดเอาไว้

Review: Welcome to the Punch

หนังเล่าเรื่องค่อนข้างเยอะไปหน่อย เยอะไปหน่อยจริงๆ แต่ได้ฉากยิงกันที่ทำได้น่าตื่นเต้นเข้ามาแทรก ทำให้หนังไม่น่าเบื่อ ดูแล้วไม่ง่วง และน่าติดตาม ผมเห็นหนังให้เครดิตริดลี่ย์ สก๊อตต์เป็นโปรดิวเซอร์ เพราะชื่อผู้กำกับยังมือใหม่อยู่ หนังจึงมีอะไรที่ขาดๆ เกินๆ ไปหน่อย แต่ก็คงอยู่ภายใต้การควบคุมของปู่ริดลี่ย์ ทำให้มันออกมาไม่น่าเบื่อและชวนคล้อยตาม ตอนเฉลยเรื่องทั้งหมดเดาง่ายไปหน่อย แต่โดยรวมทั้งเรื่องก็โอเคครับ หนังเหมาะสำหรับคนชอบหนังสืบสวน ให้คะแนน 6.5/10 ครับ

Review: Fast and Furious 6 เร็ว แรงทะลุนรก

Fast and Furious 6

รีวิวหนัง Fast and Furious 6 หนังเรื่องที่ 6 ของตระกูล Fast & Furious ที่ผู้กำกับจัสติน ลิน ผู้ที่เข้าถึงอารยธรรมของหนังบู๊สไตล์รถซิ่งวิ่งระเบิดถล่มภูเขาเผาตึก ได้สร้างความมันส์ระดับ 5 ดาวไว้เป็นที่จดจำก่อนที่หนังภาค 7 ซึ่งน่าจะเป็นบทสรุปของหนังตระกูล Fast จะเปลี่ยนมือไปเป็นผู้กำกับเจมส์ วาน ที่ถนัดหนังสยองขวัญ (Saw, Insidious, The Conjuring) ดังนั้นภาคนี้อาจจะเป็นภาคสุดท้ายที่เราจะได้กลิ่นอายความมันส์ในแบบ Fast ภาคนี้จัสติน ลิน จึงจัดเต็มในทุกๆ ฉาก ที่จะตรึงทุกสายตาและกระตุ้นอะดรีนาลินในร่างกายของคนดู เป็นการส่งท้ายก่อนจะวางมือ และหันไปทำโปรเจ็คท์ใหม่ครับ


สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูภาคก่อนหน้านี้ อาจจะงงหรือไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ผมแนะนำให้ไปหาดูมาก่อนทั้ง 5 ภาคเลยนะครับ แล้วคุณจะเห็นพัฒนาการของหนังที่เดิมตั้งแต่ภาคแรกผู้กำกับเป็นร๊อบ โคเฮน ต่อมาก็เป็นจอห์น ซิงเกิลตัน และมาเป็น จัสติน ลิน ตั้งแต่ภาคที่ 3 ที่จัสติน ลิน พยายามใส่ลงไปให้หนังของเค้ามีความสดใหม่ จึงเป็นแฟรนไชส์หนังที่ไม่น่าเบื่อเลย

สำหรับ Fast and Furious 6 เดินเรื่องต่อจากภาคที่แล้วทันที หลังจากที่สมาชิกทุกคนวางมือสำหรับชีวิตโจรขโมยรถแล้ว แต่เหตุที่ทำให้ดอมินิก ทอเร็ตโต้ ต้องเรียกทั้งทีมมาเพื่อลุยในภารกิจเสี่ยงตายอีกครั้ง เป็นเพราะสิ่งที่ถูกทิ้งท้ายไว้ในช่วงหลังเครดิตในภาคที่ 5 นั่นเอง ต้องให้เครดิตแก่คริส มอร์แกน ผู้เขียนบทมาตั้งแต่ The Fast and the Furious: Tokyo Drift เค้าวางโครงเรื่องเอาไว้ดีมาก ที่ทำให้หนังโจรกรรมรถ หรือแข่งรถซิ่งบนท้องถนน กลายเป็นหนังที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สเกลของหนังที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ฉากเสี่ยงตายที่อันตรายมากขึ้น มีตัวละครใหม่ๆ เข้ามาเสริมอรรถรส จนมันดูยิ่งใหญ่ครับ โดยเฉพาะภาค 6 นี้ เป็นงานสร้างหนังที่ยิ่งใหญ่ และมีเอกลักษณ์ของ Fast ครับ เพราะภาคที่แล้วเปลี่ยนสไตล์ไปเป็นหนังแอ๊คชั่นแบบเต็มตัว ที่แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้ แต่มันไม่กินใจแฟนหนังขาซิ่งครับ แต่สำหรับภาคนี้ จัสติน ลิน นำเอาเอกลักษณ์เดิมของ Fast กลับมา มีกลิ่นอายของหนังแข่งรถที่เต็มไปด้วยสีสัน สาวสวยที่ต้องคู่กับรถสวย เสียงดนตรีแนวฮิพฮอพ R&B มุกตลกโปกฮาที่พาเราขำก๊ากได้แบบไม่ต้องกั๊ก ภาคนี้ได้ดูอย่างจุใจครับ

Fast and Furious 6

สำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้เหล่าเพื่อนผองนักซิ่งของดอมต้องพบกับศัตรูใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าทุกภาค และเป็นภารกิจที่เสี่ยงตายมากกว่าภาคไหนๆ ในแง่ของเหตุผลว่าทำไมต้องเสี่ยง ถ้าใครได้ดูแล้วจะพบว่าเหตุผลที่ทุกคนรับงานนี้มันคุ้มค่ามาก นอกเหนือจากดอมที่รับงานนี้เพราะเรื่องส่วนตัว แต่งานเสี่ยงย่อมมีการสูญเสียครับ ภาคนี้จึงมาเต็มทั้งอารมณ์และความรู้สึกแบบสุข สนุก ขำขัน ตื่นเต้น ระทึก และเศร้าโศก

และหนึ่งในสิ่งที่หลายๆ คนเคยมีคำถามว่า
"ตกลงแล้วพี่ฮาน ตายตั้งแต่ภาค Tokyo Drift แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมาโผล่ในภาค 5 ได้ล่ะ?"
จะได้คำตอบเฉลยให้เราได้ชมกันท้ายเครดิตของหนังภาค 6 ครับ และจะเป็นชนวนชั้นดีสำหรับการเดินเรื่องในภาคต่อไป ที่จะต้องลุ้นกันว่า Fast 7 ที่ได้เจมส์ วาน กำกับ จะทำได้ดีเหมือนหนังมาสเตอร์พีซของจัสติน ลิน หรือไม่ สำหรับผม ภาคนี้ได้ใจไปเต็มๆ สะกดทุกสายตา และตรึงเอาไว้ได้แบบอยู่หมัด ภาคนี้แนะนำว่าต้องไปดูให้ได้ครับ หนังดีระดับ 5 ดาวเลย

Review: Mama (2013) ผีหวงลูก

Review: Mama (2013)

ผลงานหนังสยองขวัญของผู้กำกับจากแดนกระทิงดุ แอนเดรส มัสคิเอตติ (หนังให้เครดิตกับกิลเลอร์โม่ เดล โทโร่ ในฐานะของผู้อำนวยการสร้างหนัง ทั้งนี้เพราะชื่อของเดล โทโร่นั้นขายได้ จึงถูกนำมาโปรโมตก่อนชื่อของผู้กำกับครับ) ทั้งนี้ในเครดิตของหนังจะเรียกว่าแอนดี้ มัสคิเอตติ ไม่ใช่แอนเดรสอีกด้วย Mama ถูกดัดแปลงจากบทประพันธ์ของผู้กำกับเอง เกี่ยวกับเรื่องราวลึกลับเหนือธรรมชาติของสิ่งที่เลี้ยงดู 2 เด็กสาววัยเด็ก ที่พวกเธอเรียกมันว่า "มาม่า" (ไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนะครับ เป็นคำเรียกแม่แบบเด็กๆ เหมือน ปะป๊า หม่าม้า)


Review: Mama (2013)

หนังเล่าเปิดเรื่องด้วยความเป็นมาของ 2 เด็กน้อยที่พ่อของเด็กพากตัวมายังบ้านร้างกลางป่าแห่งหนึ่งที่พบโดยบังเอิญ (แต่สาเหตุการมาคืออะไร ไว้ไปดูกันเองนะครับ) ตอนนั้นเองที่มาม่าปรากฏตัว และกลายเป็นพี่เลี้ยงให้กับวิคตอเรียและลิลลี่ 2 พี่น้องผู้ไร้เดียงสา การหายตัวไปของสองเด็กสาวทำให้ลูคัสซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของเด็กทั้งคู่ออกตามหาหลานสาวของตนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยหวังว่าจะยังมีชีวิตอยู่ จนในที่สุดก็พบเธอทั้งคู่หลังจากผ่านไปหลายปี ตอนนี้วิคตอเรียและลิลลี่กลายเป็นเด็กที่มีสัญชาติญาณแบบสัตว์ป่า เพราะเธอต้องอาศัยอยู่กลางป่าโดยกินลูกเชอรี่ประทังชีวิต โดยมี "มาม่า" คอยดูแล ลูคัสและแอนนาเบลนำหลานสาวทั้งสองมาเลี้ยงแบบมนุษย์ที่ใช้ชีวิตตามปกติ แต่พวกเค้าจะทำได้หรือไม่ เมื่อสิ่งที่ตามเด็กทั้งสองมากำลังโมโห!!!

Review: Mama (2013)

หนังมีบรรยากาศของความสยองที่ไม่เกร่อครับ มันมาแบบค่อยๆ ออกมาหยอกเล่นทีละนิดๆ เหมือนผู้ใหญ่หยอกเด็ก ค่อยๆ มาเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไงก็ไม่น่ากลัวมากครับ หนังค่อยๆ เฉลยว่าผีมาม่านั้นเป็นใคร และต้องการอะไร โดยการค้นหาข้อมูลต่างๆ ของหมอเจอรัลด์ ซึ่งพบเรื่องราวของมาม่าจากวิคตอเรีย และสนใจเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาตินี้จนต้องค้นคว้าด้วยตนเอง ผีมาม่า ก็ไม่ได้โหดร้ายในยามที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่ถ้าไปแหย่ให้เธอโกรธ หรือพบว่าลูกๆ ทั้ง 2 ของเธอรักคนอื่นมากกว่าเธอ เธอจะเกรี้ยวกราดใส่ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กทั้งสองเอง

Review: Mama (2013)

ผีมาม่า ดีไซน์ออกมาแปลกตา และดูน่ากลัวพิลึก เสียดายนิดนึงที่มันดูเป็น CG ไปหน่อย ยิ่งได้ฟังเสียงร้องชวนขนลุกของเธอด้วยยิ่งน่ากลัว แต่บางฉากก็ทำให้ผมหัวเราะได้เหมือนกัน โดยฉากพรางตัวก่อนจะเข้าไปหาเหยื่อของเธอ มันแอบฮาปนสยองจริงๆ ขณะที่แอนนาเบล ที่รับบทโดยเจสสิก้า แชสเท่น (นักแสดงสาวรางวัลลูกโลกทองคำจาก Zero Dark Thirty) ก็เป็นพี่เลี้ยงจำเป็นได้ดี สลัดคราบสาวนักวิเคราะห์ของซีไอเอไปได้แบบหมดเปลือกครับ ตอนจบของเรื่องก็หักมุมนิดๆ เรื่องนี้ไม่น่ากลัวเกินไปและไม่เครียดเกินไป เอาไว้ดูเล่นๆ วันหยุดก็ได้ครับ

Review: Gangster Squad (2013) แก๊งกุดหัวเจ้าพ่อ

Review: Gangster Squad (2013)

ผลงานหนังอาชญากรรมย้อนยุคของผู้กำกับ Ruben Fleischer ที่เนรมิตนครลอสแองเจลิสยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองออกมาได้อย่างสมจริง กับปฏิบัติการโค่นเจ้าพ่อที่ใช้เค้าโครงจากเรื่องจริงในการโค่นอำนาจของมิคกี้ โคเฮน เจ้าพ่อมาเฟียผู้เรืองอำนาจในยุคนั้น โคเฮน อดีตอันธพาลที่อาศัยการชกมวยเลี้ยงชีพ จนกระทั่งมีเงินและชื่อเสียง และนำเงินมาสร้างธุรกิจนอกกฎหมายทุกอย่าง และยาเสพติด กว้านซื้อตำรวจ นักการเมือง ผู้พิพากษา ทำให้มีอำนาจและเครือข่ายช่วยเหลือเค้ามากมาย แต่ก็มีตำรวจกลุ่มนึงที่ถูกตั้งทีมขึ้นมาเพื่อต่อกรกับอำนาจมืดของโคเฮนแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน


Gangster Squad ไม่ได้มีปฏิบัติการล่าล้างเจ้าพ่อโคเฮนเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกชีวิตของตำรวจเข้าไปให้เราชมด้วย กลุ่มตำรวจทีมโค่นเจ้าพ่อที่มาจากต่างสถานที่ ต่างวัย ต่างเชื้อชาติ ดูเผินๆ แล้วทั้งทีมไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือจะไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจเหนือกฎหมาย แม้ว่าจะต้องใช้วิธีเหนือกฎหมายในการจัดการก็ตาม เพราะทุกคนตระหนักดีว่าครอบครัวและคนที่เค้ารักจะตกอยู่ในอันตรายถ้าในเมืองยังคงเต็มไปด้วยอาชญากรเรืองอำนาจ และทุกคนต้องเสียสละเวลาในชีวิตเพื่อภารกิจระห่ำนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาให้กับครอบครัว ลูก เมีย เพื่อน หรือเวลาสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ เพราะเมื่อรับภารกิจ ก็เหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

Review: Gangster Squad (2013)

หนังใช้ตัวละคร จ่าจอห์น โอมาร่า อดีตทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่สองที่เพิ่งจบไป เป็นตำรวจตงฉินที่เงินซื้อไม่ได้ ทำให้เข้าตาสารวัตรบิล ปาร์คเกอร์ และสนับสนุนให้เค้าตั้งทีมตำรวจระห่ำโค่นเจ้าพ่อโคเฮน โอมาร่าจึงเฟ้นหาตำรวจตงฉินฝีมือดีและเงินซื้อไม่ได้มาเข้าทีม และปฏิบัติการระห่ำล้างบางเจ้าพ่อจึงเริ่มขึ้น

Review: Gangster Squad (2013)

งานของโอมาร่าและทีม ไม่ใช่การบุกเข้าไปยิงโคเฮนให้มันจบๆ ไป พวกเค้าทำสิ่งที่เรียกว่าการทำลายมะเร็งของสังคม บุกไปทำลายธุรกิจนอกกฎหมายทุกแห่งของโคเฮน ดักปล้นยาเสพติดที่เพิ่งนำเข้ามา เพื่อตัดตอนสิ่งที่กัดกินสังคมจนเน่าเฟะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ตำรวจกลุ่มนึงจะต้องต่อกรกับองค์กรอาชญากรทั้งเมือง แถมยังมีเส้นสายในวงการตำรวจและผู้พิพากษาอีกด้วย

Review: Gangster Squad (2013)

หนังเรื่องนี้ต้องขอชมเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม ที่ดูเข้ากับยุค 50 ฉากและบรรยากาศที่ให้อารมณ์เหมือนย้อนไปในยุคที่ลอสแองเจลิสกำลังเจริญทางด้านอุตสาหกรรมบันเทิง ด้านนักแสดงผมยอมรับว่าจอช โบรลิน เล่นหนังเครียดๆ ได้ดี หน้าเครียดๆ ของแกมันดูเครียด จริงจัง ขึงขังน่าเกรงขามจริงๆ ไรอัน กอสลิ่ง ยังคงเป็นนักแสดงมาดเซอสุดเท่ในสายตาผม แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้เห็นเค้ากลับมาใส่สูทผูกไท้ก็เท่ได้ใจกันไป ฌอน เพนน์ ไม่ต้องสาธยายถึงฝีมือการแสดงของพี่เลย ช่างเป็นเจ้าพ่อที่เหี้ยมเกรียมจริงๆ ไอ้รอยยิ้มที่ดูเหมือนให้ความหวังก่อนจะดับหวังใครต่อใครมันช่างดูโหดร้ายซะเหลือเกิน เอ็มม่า สโตน เรื่องนี้เธอดูสวยที่สุด หยดย้อยที่สุดเท่าที่เคยดูหนังของเธอมาทุกเรื่องเลยครับ หลงรักเลยล่ะ ฮิฮิ

Review: Gangster Squad (2013)

Gangster Squad เป็นหนังที่สนุกแบบเรื่อยๆ ไม่เอื่อยจนน่าเบื่อ เดินเรื่องเร็ว แถมยังมีฉากสะเทือนอารมณ์อยู่บ้าง บางฉากก็เลือดสาดพอสมควร ไม่ได้บู๊ทะลุแบบระเบิดภูเขาเผาตึก แถมยังได้ยลโฉมสาวสวยอย่างเอ็มม่า สโตน แบบเต็มตา หามาดูเถอะครับ

Review: Parker (2013) ปล้นมหากาฬ

Review: Parker (2013)

หนังอาชญากรรมทริลเลอร์ Parker ดัดแปลงจากบทที่ 19 ตอน Flashfire ในนิยายขายดีชื่อเดียวกับหนัง ผลงานของ โดนัลด์ เวสท์เลค (นามปากกา คือ ริชาร์ด สตาร์ก) กับเรื่องราวของการล่าล้างแค้นในหมู่โจรปล้นทรัพย์ ดัดแปลงมาเป็นบทหนังโดย จอห์น แมคลัฟลิน กำกับโดย เทย์เลอร์ แฮคฟอร์ด และได้สองนักแสดงชั้นนำอย่างเจสัน สแตทแธม และเจนนิเฟอร์ โลเปซ มารับบทนำของเรื่อง


Review: Parker (2013)

เรื่องนี้ต้องบอกว่ามีดีและมีเสียปนกันไปอย่างละครึ่งๆ ครับ เรื่องดีคือการแสดงของเจสัน สแตทแธม ที่เรื่องนี้มีบทพูดเยอะกว่าการบู๊ ฉากที่พูดเพื่อปลอบประโลมนั้นช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้จริงๆ คือทำให้รู้สึกตามตัวละครที่กำลังตกอยู่ในสภาวะกดดันนั้นผ่อนคลาย ผมดูแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายไปด้วย หลังจากนั้นเราจะได้เห็นพ่อยอดนักบู๊ของเราถูกหักหลังและเฉียดตาย(แบบไม่น่าเชื่อ) และกลับมาตามล่าล้างแค้นได้อย่างสะใจ เรื่องดีอีกเรื่องคือบทบาทของเลสลี่ ที่รับบทโดยเจนนิเฟอร์ โลเปซ ที่ทำให้ผมนึกถึงเธอในเรื่อง Out of Sight หนังเก่าเมื่อปี 1998 แม้ว่าเธอจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูสวย และเซ็กซี่ไม่สร่าง อ้อ ใครเคยดูตัวอย่างหนังจะรู้ว่ามีฉากที่ได้โชว์เรือนร่างเฟิร์มๆ ของเธอด้วยนะครับ...ฟิน นอกเรื่องไปมาก กลับมาที่รีวิวหนัง เธอเล่นบทของหญิงหม้ายหย่ากับสามีและต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างลำบาก ไหนจะค่าใช้จ่ายที่สูง ต้องเลี้ยงดูแม่ที่ขี้บ่นจุกจิก ต้องทนเลี้ยงหมาที่ไม่ชอบ น้องสาวที่เลิกคบกับเธอไปแล้ว ทำงานต้องพบกับพวกชอบแต๊ะอั๋งล่วงเกินเธอ มันเป็นความอัดอั้นตันใจของผู้หญิงที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน จนเธอมาพบกับปาร์คเกอร์ และคิดว่าเค้านี่แหละที่จะช่วยให้เธอพ้นจากสภาพนี้ได้ โดยมีข้อเสนอระหว่างกัน

Review: Parker (2013)

ข้อเสียของหนังก็คือข้อเสนอของพระเอกกับนางเอกของเรานี่แหละครับ คือมันดูเป็นหนังมากไปหน่อยที่พระเอกซึ่งเป็นโจรมืออาชีพ จะให้ส่วนแบ่งกับผู้ช่วยแบบนั้น ถ้าเป็นของจริงผมว่าต้องเชิดเงินหนีไปสบายใจเฉิบแล้วล่ะ อีกอย่างที่สำคัญคือตอนแรกเริ่มที่โดนหักหลังครับ ร้อยทั้งร้อยต้องตายแล้วล่ะ แต่หนังยังไงก็คือหนัง พระเอกจะไม่ตายง่ายๆ ครับ และพระเอก เป็นคนดีเกินไปครับ เกินคำว่าโจรไปมากเลย

Review: Parker (2013)

โดยสรุปแล้ว Parker ก็เป็นหนังทริลเลอร์ที่พอดูได้ มันจะไม่ใช่หนังบู๊แบบที่คุณเคยเห็นเจสันเล่นมาก่อน แต่สำหรับผมได้เห็นร่างงามๆ ของเจนนิเฟอร์ โลเปซ อีกครั้ง ก็ฟินแล้ว เช่ามาดูก็พอครับ

Review: Iron Man 3

Review: Iron Man 3

และแล้วซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจมหาชนอย่างไอรอนแมน ก็กลับมาบินโฉบเฉี่ยวให้เราได้ชมกันอีกครั้งใน Iron Man 3 แถมครั้งนี้ก็สนุกไม่แพ้ภาคก่อนๆ ด้วย พร้อมกับนักแสดงชุดเดิมที่มากันครบทั้งโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ กวินเนธ พัลโทรว์ ดอน ชีเดิ้ล และเสียงพากษ์ของจาร์วิสโดยพอล เบ๊ตตานี่ ขณะที่กาย เพียร์ซ เบ็น คิงส์ลี่ย์ รีเบคก้า ฮอลล์ เจมส์ แบ๊ดจ์ เดล เพิ่งจะมาร่วมแสดงในแฟรนไชส์หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้เป็นครั้งแรก


แม้ว่าภาคนี้จอน เฟฟโร จะไม่ได้กำกับเหมือน 2 ภาคแรก แต่ก็มาเล่นบทของแฮปปี้ โฮแก้น บอดี้การ์ดของโทนี่ สตาร์กเหมือนเดิม และการกำกับของเชน แบล๊คก็ทำได้ดีครับ เป็นไอรอนแมนภาคที่ดูซีเรียสกว่าภาคก่อนๆ แต่ก็ไม่ทิ้งความสนุกและมุขตลกโปกฮาไปซะจนเครียดครับ หนังเดินเรื่องหลังเหตุการณ์ในดิอะเวนเจอร์ส สตาร์กกลายเป็นคนที่วิตกกังวลเกินเหตุ จนทำให้นอนไม่หลับ การก่อการร้ายออกทางทีวีของแมนดาริน ที่ส่งสาส์นโจมตีมายังประธานาธิบดี การมาของอัลดริช คิลเลี่ยน ผู้ถือเทคโนโลยีเอ๊กซ์ทรีมิส ทำให้สตาร์กที่เป็นห่วงเพ็พเพอร์ส์มากกว่าสิ่งใด พยายามสร้างไอรอนแมนที่มีประสิทธิภาพจนสามรถพุ่งไปประกอบชิ้นส่วนเกราะบนลำตัวของมนุษย์ได้เอง ซึ่งจุดนี้เองที่ผมคิดว่าโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์กลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่เท่ที่สุดในเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ในบทของโทนี่ สตาร์ก ที่ผู้สร้างบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของ โฮเวิร์ด ฮิวจ์ส มหาเศรษฐีอเมริกันผู้ล่วงลับ ที่ดูเท่และสง่า แถมยังเจ้าชู้อีกด้วย ส่วนโทนี่ สตาร์กของเราจะไม่เท่ได้ไง ก็ดูสิครับ ใส่เกราะแต่ละครั้งมันธรรมดาที่ไหน ทำให้ท่านั่งคุกเข่าข้างเดียว มือนึงแตะพื้น อีกมืออยู่เหนือเข่า (หรือเหยียดตรงในบางครั้ง) กลายเป็นท่ายอดฮิตของหนังซูเปอร์ฮีโร่ไปแล้ว (ธอร์ ซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน ก็ใช้ท่านี้นะ) นอกจากนี้เกราะแต่ละชิ้นก็กลายเป็นสีสันของเรื่อง เพราะประกอบเข้าร่างสตาร์กแต่ละที ต้องมีเจ็บครับ Ouch!

Review: Iron Man 3

อีกอย่างที่ต้องชม คือการเข้ากันของสองนักแสดงต่างวัย ในซีนการพบกันของโทนี่ สตาร์ก และเด็กน้อยฮาร์ลีย์ (ไท ซิมป์กินส์) ที่ทำให้ทุกคนในโรงต้องหัวเราะออกมา เพราะเจ้าหนูซิมป์กินส์นั้นแสดงมาดกวนแย่งซีนได้ใจ แต่โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ของเราก็ไม่ยอมเสียชื่อโทนี่ สตาร์ก ก็ตอกกลับมาดกวนซีนนั้นทำเอาเจ้าหนูเงิบและขโมยซีนกลับไปแบบหน้าตาเฉย ให้มันได้อย่างนี้สิ!!!

Review: Iron Man 3

ฉากถล่มคฤหาสน์หลังงามของสตาร์กดูน่าตื่นเต้นมากๆ ครับ เพราะเป็นการโจมตีแบบฉาบฉวยและรวดเร็ว ขณะที่ฉากบินโฉบไปช่วยเหลือผู้โดยสารบนแอร์ฟอร์ซวัน ก็ลุ้นระทึกมาก แถมยังมีมุขเด็ดให้ฮากันในซีนสุดท้ายอีก และฉากเปิดตัวหุ่นไอรอนแมนทั้งหมด 42 ตัวก็เป็นงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ แถมปิดตัวหุ่นทั้งหมดได้อย่างอลังการจริงๆ

Review: Iron Man 3

โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ สถาปนาตนเองเป็นพระเอกแถวหน้าของวงการหนังฮอลลีวู้ดได้อย่างเต็มภาคภูมิ แม้ว่าจะเข้าวงการมานานแล้ว แต่เพิ่งมาเปรี้ยงปร้างก็ตอนเล่นไอรอนแมนเมื่ออายุ 43 นี่แหละ (ปัจจุบัน 48) เป็นคนที่ขึ้นจอเอามากๆ แถมยิ่งแก่ก็ยิ่งหล่อยิ่งเท่ ผมแน่ใจว่าสาวๆ หลายคนอยากได้แฟนเหมือนโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์แน่นอน ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ผิดแปลกจากวงการหนังไทยมาก ที่ผู้สร้างหนังต้องหาพระเอกนางเอกหน้าใหม่มาแสดงอยู่เสมอ และแน่นอน...เล่นแข็งเสมอ กวินเนธ พัลโทรว์ บอกตรงๆ ผมว่าเมื่อก่อนเธอไม่สวยเท่านี้นะครับ แต่ตั้งแต่เล่นไอรอนแมนในบทของเพ๊พเพอร์ส พอตต์ เธอดูสวยน่ารัก มีเสน่ห์น่าหลงใหลจริงๆ เคมีระหว่างตัวละครโทนี่และเพ็พเพอร์สเป็นอะไรที่เข้ากันสุดๆ ลงตัวที่สุดแล้ว ล่าสุดนิตยสารชื่อดัง People ยกให้เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดด้วย ซึ่งน่าจะได้อิทธิพลมาจากบทบาทของเพ็พเพอร์สครับ ขณะที่กาย เพียร์ซ ยังคงเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทที่เล่นบทใดก็เข้าถึงบทจริงๆ จากอัลดริช คิลเลี่ยน ชายขี้โรค กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มเอ๊กซ์ทรีมิส เบ็น คิงส์ลี่ย์ ถูกโปรโมตให้เป็นแมนดาริน จอมวายร้ายในเรื่อง ซึ่งการแสดงผ่านจอของเค้าดูเป็นอะไรที่คุกคามความมั่นคงได้จริงๆ ครับ แต่ตัวจริงแมนดารินจะมีเบื้องหลังอะไรต้องไปดูกันเอาเอง

ส่วนเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับผมต่อไอรอนแมน 3 คือการตัดเอาซีนของฟ่านปิงปิง นักแสดงสาวสวยแดนมังกร(ขวัญใจผม)ออกจากเรื่อง อุตส่าห์รอดูเธออย่างใจจดใจจ่อมาตั้งแต่ที่ตัวอย่างหนังไอรอนแมน 3 ออกมาให้ชม เฮ้อ ต้องรอดูว่าจะมีแผ่นหนังแบบ Uncut มาให้ดูรึเปล่า อีกอย่างคือช่วงท้ายเรื่องรู้สึกจะรวบรัดเกินไป หลายคนคงสงสัยว่าทำไมสตาร์กถึงได้ทิ้งตัวปฏิกรณ์อาร์คลงน้ำ หนังพยายามจะบอกว่าตอนนี้โทนี่ สตาร์ก มีหัวใจที่เป็นปกติแล้วครับ

Review: Iron Man 3

Iron Man 3 เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่สนุกและน่าติดตามไปตลอดทั้งเรื่อง คุณจะชอบโทนี่ สตาร์ก คุณจะอึ้งกับเพ็พเพอร์สในตอนท้าย และคุณจะรู้สึกอยากให้เจ้าหนูฮาร์ลีย์ (ไท ซิมป์กินส์) มาเล่นหนังไอรอนแมนอีกรอบแน่ๆ ครับ อ้อ อีกอย่างนึง ใครที่ยังไม่ดู และกำลังจะไปดู กรุณารอจนเครดิตของหนังจบนะครับ มาร์เวลเค้ามีอะไรให้ชมอยู่เสมอครับ ผมรู้สึกเสียดายแทนหลายคนที่ดูจบแล้วรีบลุกออกจากโรงจริงๆ อย่าลืมไปชมกันให้ได้นะครับ

Review: The Last Stand นายอำเภอคนพันธุ์เหล็ก

The Last Stand

หลังจากหมดวาระทางการเมือง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ (ถูกรึเปล่า ชื่อยาวจริง) ก็กลับมารับเล่นหนังอีกครั้ง แม้ว่าอายุอานามจะล่วงเลยมาจนถึง 65 ปีแล้ว ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัย แต่ฝีไม้ลายมือในการแสดงยังคงฟิตปั๋ง แถมยังรักษาหุ่นล้ำบึ๊กเอาไว้ได้ แม้จะอ้วนขึ้นบ้าง แต่ก็นับว่าหุ่นป๋าแกบึ๊กสมกับที่เคยเป็นนักเพาะกายมาก่อน และครั้งนี้ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชาวเกาหลี คิมจีวุน ในหนังแอ๊คชั่นเรื่อง The Last Stand นายอำเภอคนพันธุ์เหล็ก ด้วยการรับบทนำในเรื่อง เป็นนายอำเภอเรย์ โอเว่น หัวหน้าผู้รักษากฎหมายท้องถิ่น ในวัยใกล้เกษียณ


The Last Stand

The Last Stand ว่าด้วยเรื่องของนายอำเภอ เรย์ โอเว่น อดีตตำรวจปราบยาเสพติดที่เคยมีอดีตฝังใจ จนหมดไฟในงานตำรวจ และมารับหน้าที่รักษากฎหมายในชนบทห่างไกลที่แสนสงบ ในเมืองแซมเปิลตัน จนวันนึงโคตรเจ้าพ่อยาเสพติด เกเบรียล คอร์เตซ ซึ่งถูกเอฟบีไอจับตัว ดันหลบหนีออกมาได้ด้วยแผนเหนือชั้นจนเอฟบีไอไม่สามารถติดตามได้ และมีแผนจะหลบหนีผ่านเส้นทางของเมืองแซมเปิลตัน ทำให้นายอำเภอใกล้เกษียณคนนี้ต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อปกป้องเมืองและไม่ปล่อยให้คนนอกกฎหมายทำอะไรได้ตามใจชอบ

หนังเดินเรื่องได้เร็ว กระชับ มีฉากแอ๊คชั่นสลับกับมุขตลกของนักแสดง แม้ว่าเรื่องนี้จะได้เห็นฉากแอ๊คชั่นแบบโหดเลือดสาดเนื้อหนังหลุดวิ่นเป็นชิ้นๆ ก็เถอะ แต่ด้วยมุขตลกที่แฝงอยู่ทำให้หนังไม่ดูเครียดจนเกินไปครับ โดยเฉพาะฉากขโมยซีนของคุณยาย ทำเอาผมก๊ากไม่หยุดจริงๆ แถมได้เห็นป๋าอาร์โนลด์กลับมาจับปืนบู๊อีกครั้งทำให้นึกถึงหนังแอ๊คชั่นเก่าๆ ที่ป๋าอาร์โนลด์เคยเล่นตอนผมเป็นเด็ก แต่ในมาดนายอำเภอนี้คงไม่เคยเห็นกันแน่ๆ

หนังเรื่องนี้ แม้ว่าป๋าอาร์โนลด์ จะไม่ได้ออกแรงบู๊มากเหมือนเรื่องก่อนๆ แต่เป็นนักแสดงที่ขึ้นจอมาก ดูแล้วมีบารมี เป็นนายอำเภอที่คนท้องถิ่นควรนับถือจริงๆ ขณะที่ตัวละครอื่นๆ อย่าง จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์ ก็เป็นตัวเรียกเสียงฮาได้หลายจังหวะ เป็นนักแสดงสมทบที่บทน้อยแต่โดดเด่นกว่าคนอื่นครับ อาจจะเป็นเรื่องถนัดสำหรับเค้าเพราะเป็นทั้งโปรดิวเซอร์และนักแสดงของ Jackass นอกจากนั้นคนอื่นๆ ก็เป็นเพียงตัวประกอบธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แม้กระทั่งโรดริโก้ ซานโตโร่ ในบทของแฟรงค์ ก็ยังดูไม่ค่อยมีบทบาท แทบไม่น่าเชื่อว่าเคยเล่นเป็นกษัตริย์เซอร์ซีสใน 300 ฟอเรสท์ วิเทเกอร์ ในบทของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ จอห์น แบนนิสเตอร์ ดูเป็นหัวหน้าเอฟบีไอที่ซีเรียสตลอดเวลา แต่ก็ยังทำให้เราฮาได้บ้าง ดาเนี่ยล เฮนนี่ย์ พระเอกเกาหลี น่าเสียดายที่บทน้อยเกินไปหน่อย เลยไม่ได้โอกาสแสดงฝีมือซักเท่าไหร่ ส่วนผู้ร้ายตัวหลักของเรื่อง เกเบรียล คอร์เตซ รับบทโดยนักแสดงชาวสเปน เอดูร์อาโด้ โนริเอก้า โดยส่วนตัวผมว่าหนุ่มเกินไปที่จะเป็นโคตรเจ้าพ่อค้ายา แต่แววตามีเลศนัยของเค้าก็พอจะทำให้เราเชื่อได้ว่ามันเลวจริงๆ หนังเรื่องนี้สนุก ไม่น่าเบื่อ เดินเรื่องเร็ว แม้จะเป็นเพียงหนังแอ๊คชั่นดาดๆ แต่ถ้าดูเอามันส์ล่ะท่านได้แน่นอนครับ ตอนนี้ออกมาเป็นแผ่นมาสเตอร์แล้วอย่าลืมไปอุดหนุนกันด้วยนะครับ

The Last Stand

Review: The Croods เต็มอิ่มความสนุกยกครอบครัว

The Croods

ช่วงวันหยุดวันจักรีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปดูหนังอนิเมชั่นเรื่อง The Croods 3D ครับ ต้องบอกว่าเป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกที่เข้าไปดูในโรง หลังจากที่ผมเลือกจะดูอนิเมชั่นจากแผ่นดีวีดีมานานหลายปี และมนุษย์ถ้ำ The Croods ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยครับ ทั้งสนุก หัวเราะเกือบทั้งเรื่อง แถมยังมีแง่คิดดีๆ กลับบ้านอีกด้วย


The Croods

The Croods เป็นเรื่องราวของครอบครัวตระกูลครูดส์ ในยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งเปลือกโลกยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ครอบครัวครูดส์มี กรั๊ก เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นคุณพ่อ ผู้คุมกฏ ผู้คอยอารักขาความปลอดภัยให้ทุกคนที่เค้ารัก ซึ่งประกอบไปด้วย ภรรยาคู่ชีวิต ลูกสาวคนโต ลูกชายคนกลาง ลูกสาวคนเล็ก และคุณยายวัยชราขี้บ่น ทุกคนในตระกูลครูดส์จะบึกบึน แข็งแรง มีกำลังมหาศาล สามารถวิ่งไล่กวดสัตว์บางชนิดเพื่อหาอาหารได้ทุกคน และถ้าเจอสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ก็วิ่งหนีกันได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

กรั๊ก จะตั้งกฎที่เข้มงวดกับทุกคน เพราะเค้าเชื่อว่าโลกภายนอกล้วนมีแต่สิ่งที่อันตรายถึงแก่ชีวิต ดังนั้นเมื่อพบภัยอันตรายใดๆ กรั๊กจะใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีในการพาทุกคนกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำอันแสนมืดมิดและเงียบงัน และใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำนั้นมาตลอดชีวิต ทั้งครอบครัวเคารพกฎของกรั๊ก และใช้ชีวิตในถ้ำขนเคยชิน

The Croods

แต่ลูกสาวคนโต อี๊ป กลับมีความคิดตรงกันข้าม เธอคิดว่าโลกภายนอกคือสิ่งที่น่าค้นหา ท้าทาย จนเธอจะปีนขอบหน้าผาขึ้นไปมองพระอาทิตย์ตกดินทุกเย็น เพราะมันคือสัญญาณบอกว่า เมื่อพลบค่ำมาถึง เธอต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ที่ๆ เธอรู้สึกเหมือนถูกขังมากกว่าจะเป็นบ้าน จนคืนนึง เธอเห็นแสงไฟที่สาดส่องตอนกลางคืน และเธอตามแสงไฟดังกล่าวไป จนได้พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่สามารถจุดไฟติดได้ เค้าชื่อกาย กายมีทุกสิ่งที่แปลกจากคนอื่นที่อี๊ปเคยพบ จุดไฟได้ ใส่รองเท้า และผอมแห้งแรงน้อย แต่ฉลาดสุดๆ นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงที่ตั้งชื่อว่า เบลต์ (Belt ที่แปลว่าเข็มขัด) ซึ่งจะคอยเกาะเอวของกายไว้เพื่อหนีบกางเกงไม่ให้หลุด แถมยังเป็นสมุนมือขวาคอยช่วยเหลือกายทุกเรื่อง ที่สำคัญเจ้าเบลต์ที่แหละที่เป็นตัวขโมยซีนของเรื่องครับ หลังจากพบกันแล้ว ทั้งคู่เริ่มชอบพอกัน กายบอกกับอี๊ปเอาไว้ว่า โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลง แผ่นดินไหวและพังทลาย ลาวาจะปะทุ ทุกคนต้องรีบหนีไปที่ภูเขาสูงที่มีระยะห่างออกไปจากที่นี่มาก และมอบเปลือกหอยไว้ให้เธอเป่าเรียกเป็นสัญญาณเวลามีภัย

The Croods

เมื่อกรั๊กพบว่าอี๊ปแอบออกมาในเวลากลางคืน กรั๊กจึงสั่งกักบริเวณอี๊ป แต่ก็มีเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อเกิดแผ่นดินถล่ม ภูเขาถล่ม ทำให้ถ้ำที่อาศัยของพวกเค้าถูกทำลาย พวกเค้าจึงต้องเดินทางสู่โลกภายนอก เพื่อหาถ้ำใหม่

The Croods

การเดินทางครั้งแรกของพวกครูดส์ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเค้าไม่เคยออกจากกะลา เอ้ย ถ้ำ พวกเค้าพบสัตว์แปลกตามากมาย ต้นไม้หลากหลายชนิดหลากสี และบางสิ่งก็อันตรายสุดๆ จนพวกเค้าต้องรีบหนีเอาชีวิตรอด ก่อนจะไปเจอฝูงนกล่าเนื้อสุดโหด ที่สามารถเลาะเนื้อจนเหลือแต่กระดูกได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อี๊ปต้องเป่าเปลือกหอยให้กายมาช่วย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของ The Croods ครับ

The Croods

The Croods ภาพสวย สวยมากๆ สมจริงยิ่งกว่าหนังบางเรื่องอีก ฉากการถล่มของภูเขา แผ่นดินไหว ดูน่ากลัวสมจริงมากๆ ครับ ฉาก 3D ในเรื่องมีให้เห็นหลายฉาก และสวยงามจนน่าหลงใหลเลยทีเดียว ตัวละครอย่างกรั๊ก สะท้อนได้เหมือนกับคุณพ่อหัวแข็งที่ไม่ฟังใครและทุกคนต้องฟังกู คุณอาจจะเกลียดเค้าช่วงครึ่งแรกของเรื่อง แต่ตอนท้ายที่สุดคุณจะประทับใจมนุษย์ถ้ำคนนี้มากกว่าทุกคนในเรื่องครับ สำหรับอี๊ปก็เป็นเหมือนลูกสาวที่อยากรู้อยากเห็นตามประสาวัยรุ่น บางครั้งการล้อมกรอบเข้มงวดเกินไปให้เด็กวัยนี้อาจเป็นการทำร้ายเด็กมากกว่าจะทำให้เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ การพูดคุยกันในครอบครัวจะเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกคน ปัญหาในครอบครัวจะแก้ไขได้ถ้าทุกคนรู้ถึงปัญหา ด้วยกฎต่างๆ ของกรั๊ก ทำให้ครอบครัวครูดส์เหมือนอยู่ในคุก ตกอยู่ในความกลัวตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในถ้ำหรือนอกถ้ำก็ตาม กายหนุ่มแปลกหน้าคือคนที่ใช้ชีวิตด้วยสติปัญญา เค้าสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างกล้าหาญ และไม่ต้องกลัวโลกภายนอกแต่อย่างใด เพราะครอบครัวของกายไม่ได้สอนเหมือนกรั๊ก แต่สอนให้กายต้องไล่ตามความฝัน ต้องพยายาม และต้องมีสมอง ดังนั้นไม่ว่าฟ้านะถล่มหรือแผ่นดินจะทลาย ผมมั่นใจว่ากายจะเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่ครอบครัวกายปลูกฝังเป็นสิ่งที่คุ้มครองเค้าได้นั่นเอง

The Croods

แม้ว่า The Croods จะมีธีมในยุคดึกดำบรรพ์ แต่สิ่งของหลายๆ อย่างก็สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่ทันสมัย(ในยุคนั้น) เช่น เจ้าเบลต์ ก็เหมือนเข็มขัดที่คอยเกาะไม่ให้กางเกงของกายหลุด การเป่าเปลือกหอย ก็ดูคล้ายๆ กับโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่โดนใจผมที่สุดคือการถ่ายรูป แม้วิธีจะดูเจ็บไปหน่อย แต่มันก็คิดได้เนอะ สรุปว่าควรไปดูกันทั้งครอบครัวครับ และจะดีมากถ้าได้ดูแบบ 3D ครับ

Review: Jack Reacher สนุกแบบพอเพียง

Jack Reacher

จากนิยายของ Lee Child เรื่อง One Shot ในปี 2005 กลายมาเป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนด้วยฝีมือของ Christopher McQuarrie นักเขียนบทที่จับงานกำกับหนังอีกครั้งหลังจาก The Way of the Gun ในปี 2000 ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการกำกับหนังอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เค้าถนัด จึงทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีอะไรที่บ่งบอกเราได้ว่า Christopher McQuarrie มือไม่ถึง เหมือนการปรุงอาหาร แม้จะได้วัตถุดิบชั้นเลิศมา แต่ถ้าเชฟเลือกใช้ไม่เป็น มันก็ไม่อร่อย เรื่องนี้จึงน่าเสียดายที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้


Jack Reacher

สิ่งที่หนังทำผิดมหันต์ปรากฏให้เราเห็นตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วนักเขียนบทที่เคยสร้างสรรค์ผลงานจนได้รางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก The Unusual Suspect ปล้นไม่ให้จับได้ ในปี 1996 น่าจะรู้หรือฉุกคิดได้บ้าง ว่าการเปิดเผยฆาตรกรตัวจริงตั้งแต่เปิดเรื่อง มันทำให้หนังเรื่องนี้ขาดความตื่นเต้นไปเยอะเลย หนังบอกเราว่ามีสไนเปอร์ที่เราได้เห็นหน้าแบบชัดๆ ยิงผู้บริสุทธิ์ไป 5 ศพในที่สาธารณะ และหลักฐานทั้งหมดที่มีต่างก็พุ่งตรงไปที่เจมส์ บาร์ อดีตทหารหน่วยซุ่มยิงที่เคยผ่านศึกในอิรักมาแล้ว นั่นทำให้อัยการเขตต้องการนำตัวเค้าขึ้นศาลเพื่อให้ศาลตัดสินโทษประหาร ขณะที่ทนายของฝ่ายจำเลย เฮเลน โรดิน ซึ่งเป็นลูกสาวของอัยการเขต พยายามทำให้เจมส์ บาร์ ถูกตัดสินว่าไม่สมประกอบ และรอดจากโทษประหาร ส่วนเจมส์ บาร์ ต้องการให้ชายคนนึงที่ชื่อ แจ๊ค รีชเชอร์ เข้ามาเป็นพยาน

Jack Reacher

แจ๊ค รีชเชอร์ เป็นบุคคลที่หาตัวจับยาก ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่มีบันทึก เป็นอดีตสารวัตรทหารในกองทัพบก เชี่ยวชาญงานสืบสวนสอบสวน และเคยมีคดีที่เค้าไม่สามารถปิดได้ นั่นก็คิอ คดีของเจมส์ บาร์ ที่ไปซุ่มยิงใส่ชายกลุ่มหนึ่งในอิรัก แต่สิ่งที่เจมส์ไม่รู้ คือเหยื่อทั้งหมดที่เค้ายิง เพิ่งจะเสร็จสิ้นการกระทำสุดชั่วช้าเกินกว่ามนุษย์จะรับได้ จนศาลทหารอยากให้เรื่องมันจบลงอย่างเงียบๆ และกันแจ๊คให้ออกห่างจากคดีของเจมส์ แต่แจ๊คก็ยังคิดเสมอว่าซักวัน เจมส์ บาร์ อาจจะก่อเหตุอีก และนั่นทำให้เค้าปรากฏตัว ด้วยความหวังที่จะสามารถโยนเจมส์ บาร์ เข้าคุกได้อย่างแน่นอน

Jack Reacher

แต่เมื่อเค้าได้มาสืบค้นข้อมูล และดูหลักฐานแล้ว แจ๊คกลับพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เห็น มีใครบางคนอยู่เบื้องหลังคดีฆ่าผู้บริสุทธิ์ 5 ศพ มีการสมคบคิด มีการจัดฉากให้เจมส์ บาร์ เป็นแพะรับบาป (ซึ่งตรงนี้เรารู้อยู่แล้ว เพราะมันเปิดหน้าคนยิงตั้งแต่ต้นเรื่อง) นอกจากนี้ แจ๊คยังพบอีกว่าศพเหยื่อทั้งหมดไม่ได้เป็นการสุ่มยิง แต่มีเป้าหมายยิงอย่างจงใจ และเมื่อเข้าใกล้เรื่องทั้งหมด จึงตระหนักได้ถึงอันตรายที่กำลังคลืบคลานเข้ามาหาตัวของเค้า และทนายสาวเฮเลน ที่มีคนในองค์กรของรัฐเป็นหนอน แจ๊คจึงต้องสืบหาฆาตรกรตัวจริงและหนอนในองค์กรให้ได้ ก่อนที่เค้าและเธอจะกลายเป็นศพถูกปิดปาก

Jack Reacher

หนังสนุกใช้ได้ครับ แต่มันจะสนุกว่านี้ถ้าไม่ได้เปิดเผยว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง ถ้าคิดจะดูหนังแอ๊คชั่นระเบิดภูเขาเผาตึกเหมือนเรื่องอื่นๆ ของทอม ครูซ คุณต้องผิดหวังแน่ๆ ครับ นี่คือหนังแนวสืบสวนสอบสวน ที่ต้องใช้บทสนทนาเยอะเป็นพิเศษ การสืบสาวราวเรื่องนี่แหละเป็นสิ่งที่สนุกในเรื่องนี้ ทอม ครูซ ในบทของแจ๊ค รีชเชอร์ ดูเท่ดี แม้จะแก่ลงไปเยอะ โรสซามุนด์ ไพค์ ในบทของทนายสาว เฮเลน โรดิน ดูน่าผิดหวังไปหน่อย เพราะเธอพยายามทำให้ดูเป็นทนายสาวที่ฉลาดปราดเปรื่อง แต่มันไม่ใช่ โดนรัศมีของแจ๊คกลบหมดเลย ผมอาจจะจำภาพเธอติดตาจากหนังเรื่อง Fracture ค้นแผนฆ่า ล่าอัจฉริยะ ซะล่ะมั้ง ที่เธอดูเป็นทนายสาวสวยที่น่าเกรงขาม มุ่งมั่น และมีเสนห์มากกว่านี้ ขณะที่จาย คอร์ตนีย์ในบทของฆาตรกรตัวจริง ก็ดูจะหมดฤทธิ์เร็วไปหน่อย แม้ว่าจะเปิดตัวมาดูน่ากลัว แต่เมื่อได้พบกับแจ๊ค ความน่ากลัวที่มีก็หายไปเฉยเลย ฉากแอ๊คชั่นก็ดูธรรมดา เห็นกันดาษดื่นในหนังฮอลลีวู้ดทั่วไป สิ่งที่ดูน่าจดจำที่สุดในเรื่อง คงหนีไม่พ้น ฉากที่แจ๊คหนีการตามล่าของตำรวจ โดยการลงจากรถคาเมโร่ แล้วแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน มันดูตื่นเต้นและตลกไปในตัว หนังเรื่องนี้สนุกในระดับนึง แต่ถ้าได้ผู้กำกับที่ชื่อชั้นถึงคงจะสนุกกว่านี้หลายเท่าครับ ดูที่บ้านก็พอแล้ว

Review: The Thieves "Ocean's Eleven รสกิมจิ" เหล้ากลิ่นใหม่ในขวดใบเก่า

The Thieves

หนังดังจากแดนกิมจิ The Thieves หรือในชื่อไทยว่า 10 ดาวโจร ปล้นโคตรเพชร นับเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของเกาหลี ทำลายสถิติเดิมจากหนังอสุรกาย The Host ที่เป็นเจ้าของสถิติเก่าอยู่นานถึง 6 ปี หลังจากทำรายได้ไปมากกว่า 9 หมื่นกว่าล้านวอน (ประมาณสองพันหกร้อยกว่าล้านบาท) หนังมันมีดีอะไร ไปดูกันครับ


ว่าด้วยเรื่องของกลุ่มโจรปล้นทรัพย์ 2 กลุ่มที่ได้รับการติดต่อจาก "มาเก๊า ปาร์ค" อดีตโจรย่องเบามืออาชีพที่ห่างหายจากวงการไปนาน ครั้งนี้เค้ากลับมาพร้อมข้อเสนอสำหรับการปล้นเพชรเม็ดงามหลายกะรัตที่มีชื่อว่า Tear of the Sun ซึ่งเป็นของสะสมของเศรษฐินีคนนึง ด้วยนิสัยของโจรย่อมไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ทั้งคู่เขม่นกันตั้งแต่แรกเจอ นอกจากนี้โจรฝั่งเกาหลีก็ขอเพิ่มสมาชิกอีก 1 คนที่ทำให้มาเก๊า ปาร์ค ต้องสะอึก เพราะเธอคือเป๊ปซี่ อดีตคนรักเก่าซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการถอดสลักตู้เซฟ เค้าและเธอเคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน เพราะงานล่าสุดเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้ ระหว่างการโจรกรรมทองจำนวน 64 กิโลกรัม เกิดความผิดพลาด สลิงห้อยตัวของมาเก๊าขาด ทำให้เค้าร่วงลงไปในช่องลิฟต์ สัญญาณเตือนภัยดัง และมาเก๊าก็หายตัวไปพร้อมกับทอง ปล่อยให้เป๊ปซี่ ต้องอยู่กับเพื่อนร่วมแก๊งค์อย่างป๊อปอาย ที่แอบรักเธอมานาน จากนั้นพวกเค้าก็วางแผนกันเพื่อเข้าสู่กระบวนการปล้น ซึ่งต้องเข้าไปในโรงแรมหรู โดยแผนวางไว้ว่าต้องปลอมตัวเข้าไปในฐานะแขกที่มาพัก และร่วมเล่นไพ่กับเศรษฐินีคนดังกล่าว จากนั้นจะใช้ลุงคนนึงที่มาเก๊าบอกว่าเป็นสาย ช่วยนำปืนเข้าไปใช้ในโรงแรม และคนอื่นๆ ก็ประจำที่ของตนเอง ทั้งห้องควบคุมของหน่วยรักษาความปลอดภัย ห้องเล่นไพ่ ห้องพักของเศรษฐินี เมื่อทุกอย่างพร้อมจะปิดไฟ ทีมที่อยู่ในห้องพักจะทำการเปิดเซฟ และนำเพชรออกมา ทีมเล่นไพ่จะเล่นไพ่กับเหยื่อตบตาไปเรื่อย ส่วนทีมยึดห้องควบคุมจะคอยถ่วงเวลาให้จนกว่าจะได้เพชร เมื่อได้เพชรมาแล้วก็จะแยกย้ายกันหนี

The Thieves

แต่นั่นเป็นเพียงแผน เมื่อจริงๆ แล้วคนที่รู้ว่าเพชรจริงซ่อนอยู่ที่ไหนคือมาเก๊า ปาร์ค ที่ปลอมเป็นลุงคนส่งปืน เมื่อเค้าได้เพชรไปอย่างแยบยลแล้วก็จะหนี ปล่อยให้ 2 กลุ่มโจรต้องเผชิญหน้ากับตำรวจที่กำลังมาจับ จนทำให้โจรตายฝั่งละ 1 ส่วนเป๊ปซี่ก็เกือบจะไม่รดจากรถจมน้ำ แต่ก็ได้มาเก๊า ปาร์ค ช่วยไว้ทัน

The Thieves

หนังพาเรามายังจุดที่ให้เราเห็นว่ามาเก๊า ปาร์ค ก็คือโจรดีๆ นี่เอง ที่ไม่สามารถไว้ใจได้ แถมยังหักหลังกลุ่มตนเองเพื่อชิงเพชรไปคนเดียวอีกต่างหาก คงจะเอาไปขายสบายแฮ ส่วนพวกที่เหลือก็ต้องหนีการจับกุมแบบหัวซุกหัวซุน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นครับ กลุ่มที่เหลือรอดรวมตัวกันเพื่อล้างแค้นมาเก๊า ปาร์ค ส่วนตัวมาเก๊า ปาร์ค ก็จะใช้เพชรที่ได้มาในการล้างแค้น!! เค้าจะล้างแค้นอะไร จุดนี้เองที่แตกต่างจาก Ocean's Eleven ที่ดูเหมือนจะเป็นต้นแบบสำหรับหนังเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวครับ ผู้กำกับชอยดองฮุน เลือกที่จะใส่ความเป็นหนังเกาหลีเข้าไป นั่นคือ การก่อปมเล็กๆ ให้เห็นว่ามาเก๊า ปาร์ค ไม่ได้เป็นโจรที่เลวร้าย แต่เป็นโจรโดยสันดาร เค้าไม่ได้ถูกสังคมบังคับให้เค้าเป็นโจร แต่เค้าเลือกเองที่จะเป็นโจร หนังเฉลยให้เราเห็นว่าพ่อของเค้าซึ่งเป็นโจร ถูกมาเฟียขาใหญ่รายนึงฆ่าตาย ในห้องที่ปัจจุบันเค้าซ่อนเพชร Tear of the Sun เอาไว้นั่นเอง นั่นคือแผนการที่วางไว้อย่างเหนือความคาดหมาย

The Thieves

นอกจากนี้เหตุที่ทำให้เค้าร่วงลงไปในช่องลิฟต์ระหว่างการโจรกรรมทอง 64 กิโลกรัม เป็นเพราะเพื่อนร่วมทีม ป๊อปอาย ที่ใช้เลื่อยหั่นสลิงเอาไว้จนเป็นแผล แถมหลังจากเกิดเรื่องแล้วยังพยายามแย่งเป๊ปซี่คนรักของมาเก๊าไปเป็นของตนอีก ทำให้เป๊ปซี่ต้องเข้าใจผิดในตัวมาเก๊า ปาร์ค อยู่นานหลายปี จนมารู้ความจริงก็ตอนที่ตนเองมาเจอเพชร Tear of the Sun ในห้องที่มาเก๊าจัดฉากเตรียมไว้สำหรับการล้างแค้นนั่นเอง เห็นมั้ยครับว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ก็มีอะไรที่แตกต่างจาก Ocean's Eleven อยู่เยอะทีเดียว นอกจากจะเป็นหนังโจรกรรมคอมเมดี้แล้วยังให้อารมณ์หวานแหววแบบยัยตัวร้าย(แหงล่ะ ก็จวนจีฮุนเล่นเป็นยัยตัวแสบของเรื่องนี้ด้วย)ในฉากที่จำปาโน่(คิมซูฮยอน)ตะโกนบอกรักเยนิคอล(จวนจีฮุน) ที่จำปาโน่แอบรักข้างเดียวมานาน ก่อนจะโดนตำรวจจับ ต่อด้วยอารมณ์หดหู่ ในฉากที่อาเฉิน(เยิ่นต๊ะหัว) ที่เพิ่งพบรักกับชิววิ่งกัม(คิมเฮซุก) ถูกตำรวจไล่ยิงจนในที่สุดก็ตายทั้งคู่ ต่อด้วยอารมณ์เครียดของหนังในฉากที่มาเก๊า ปาร์คเล่าความจริงทุกอย่างในเหตุปล้นทอง และกลับไปเจอเพื่อนรักของตนกำลังหักเหลี่ยมด้วยการมีเลิฟซีนร้อนแรงกับหญิงคนรักของตน และหลังจากนั้นก็เป็นอารมณ์ลุ้นระทึกตลอดเวลา หลังจากที่กลุ่มมาเฟียพยายามไล่ฆ่ามาเก๊า ปาร์ค ที่กำลังไต่ระเบียงหนี และยังปิดท้ายแบบหักมุมครั้งแรกด้วยว่าใครเป็นคนได้เพชรของจริงไป จากนั้นก่อนจบเรื่อง หนังยังหลอกให้เราเห็นว่ามาเก๊า ปาร์ค แอบมาง้อเป๊ปซี่ ด้วยการทิ้งทองคำที่เคยโจรกรรมมา ไว้ในกระโปรงท้ายรถ ก่อนจะจบเรื่องได้แบบหักมุมเข้าไปอีก เรียกได้ว่าครบทุกรสชาติสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ

The Thieves

แม้ว่าจะมีจุดอ่อนบ้าง เช่น ฉากโดดระเบียงยังดูออกว่าใช้สลิงช่วย และตัวลุงที่ปลอมตัวโดยมาเก๊า ปาร์ค ดูออกง่ายไป หรือแนวทางการปล้นมันดูคุ้นเคยมาแล้วจากหนังดังเรื่องอื่นๆ แต่จุดเด่นในหนังด้านอื่นๆ ก็มาหักลบกันได้ ทั้งด้านตัวนักแสดงที่เป็นนักแสดงที่เล่นได้สมบทบาท ถ้าใครคิดถึงยัยตัวร้ายอย่างจวนจีฮุน เรื่องนี้เราได้เห็นเลยว่าเธอเป็นยัยตัวแสบ เปรี้ยวซ่า น่ารัก คิมยุนซอกก็เป็นจอมโจรมาเก๊า ปาร์ค ได้อย่างแนบเนียน ที่ไม่เดาได้เลยว่ากำลังคิดอะไร คิมเฮซูในบทของเป๊ปซี่ นักถอดสลักสาวใหญ่สวยเซ็กซี่ที่สับสนในความรู้สึกของตนเองต่อมาเก๊า ปาร์ค ลีจุงแจในบทของป๊อปอาย โจรที่หักหลังเพื่อนและพยายามแย่งคนรักของเพื่อน และมาดของเยิ่นต๊ะหัวระหว่างการดวลปืนกับตำรวจที่ทำให้ผมนึกถึงหนังฮ่องกงในยุค 80 ทั้งหมดนี้จึงทำให้หนังเรื่องนี้ดังพลุแตกในเกาหลีใต้ แต่ในเมืองไทย ผมคิดว่าคนไทยติดภาพของหนังเกาหลีสมัยที่ยังเป็นหนังรักโรแมนติกแบบยัยตัวร้ายฯ จึงไม่ค่อยมีกระแสตอบรับที่ดีกับแนวอื่นๆ ของหนังเกาหลี ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่ไปยึดติดกับอะไร หนังเรื่องนี้ก็สนุกดีไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดเลยครับ สำหรับผมเองได้เห็นจวนจีฮุนและคิมเฮซูในเรื่องเดียวกันก็คุ้มแล้ว ^ ^"

Review: The Hobbit จุดเริ่มต้นของมหากาพย์แหวนครองพิภพ

Review: The Hobbit

การต่อสู้ การผจญภัย คำพูดปลุกใจ พ่อมด เวทย์มนต์ สัตว์ประหลาด เราเคยสัมผัสหนังแนวนี้กันมาแล้วในอดีต แต่จะไม่มีเรื่องไหนเลยที่ทำให้เราจดจำได้เหมือนกับ The Lord of the Rings ไตรภาค ที่ Peter Jackson ได้สร้างผลงานหนังมหากาพย์ชิ้นนี้มาประดับไว้ในความทรงจำของผู้ชมทั่วโลก ในช่วงปี ค.ศ. 2001-2003 จนถึงครั้งนี้ก็ได้เวลาเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดกันแล้ว ใน The Hobbit: An Unexpected Journey


The Hobbit สร้างขึ้นมาจากนิยายของ J. R. R. Tolkien ที่เรียงร้อยเรื่องราวสุดแฟนตาซีไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 มีเพียงเล่มเดียว และต่อด้วยเรื่องราวของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ไตรภาค แต่ Peter Jackson สามารถทำให้หนังสือนิยายเล่มเดียวนั้นกลายมาเป็นหนังความยาว 2 ชั่วโมงครึ่งแบบไตรภาคได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

หนังเริ่มต้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของเผ่นคนแคระ ซึ่งชำนาญงานช่างและงานเหมือง พวกเค้ามีอาณาจักรที่เต็มไปด้วยทองคำ จนกระทั่งวันนึง มีมังกรไฟ "สม็อก" เข้ามายึดเมือง ทำให้เหล่าคนแคระต้องระเห็ดพลัดถิ่นของตน กระจายไปยังดินแดนต่างๆ โดยหวังว่าซักวันจะได้กลับมาอยู่ในบ้านเกิดอีกครั้ง

หนังเล่าถึงตัวละคร บิลโบ แบ๊กกินส์ สมัยยังหนุ่ม บิลโบคือลุงของโฟรโด ฮอบบิทที่เป็นตัวเอกในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้บิลโบยังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และพยายามเขียนมันเป็นนิยายการผจญภัยของตนเอง บิลโบได้พบกับกานดาล์ฟ พ่อมดสีเทา และเชิญชวนบิลโบไปผจญภัย

Review: The Hobbit

บิลโบ เป็นฮอบบิทที่รักสงบ ตอนแรกก็ไม่ได้ตอบรับการผจญภัยแต่อย่างใด แต่หลังจากการปรากฏตัวของคาราวานคนแคระ ที่นำโดย ธอริน โอเคนชิลด์ ทายาทกษัตริย์คนแคระ ที่นำทุกคนมารวมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะกลับไปยึดบ้านเกิดเมืองนอนคืนมาจากมังกรไฟ หลังจากที่ไม่มีข่าวคราวว่าใครพบเห็นมังกรไฟมานานกว่า 60 ปี บิลโบจึงอยากเข้าร่วมการผจญภัยด้วย แม้ว่าธอรินจะมองว่าบิลโบไม่พร้อมจะรับมือกับภัยอันตรายต่างๆ ได้

แต่เมื่อถึงเวลาผจญภัยจริงๆ บิลโบ ถึงแม้ว่าจะต่อสู้ไม่เป็น แต่บิลโบมีไหวพริบ และมีโชคช่วยอยู่เสมอ ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้กานดาล์ฟดึงบิลโบมาร่วมทีม และการผจญภัยของก๊วนคนแคระกับ 1 พ่อมดและ 1 ฮอบบิทก็เริ่มต้นขึ้น

Review: The Hobbit

The Hobbit: An Unexpected Journey จะเดินเรื่องได้ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ The Lord of the Rings ฉากต่อสู้น้อยกว่า มีฉากการสื่อสารกันระหว่างตัวละครมากกว่า เพราะต้องการสื่อให้รู้ถึงเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด แนะนำตัวคนแคระแต่ละคน และมีปมให้คิดมากกว่าใน LOTR เช่น ทำไมเอลฟ์ที่นำโดยธรันดิลไม่ยอมช่วยเผ่าคนแคระ ทำไมจึงมีเนโครแมนเซอร์อยู่ในปราสาทโดลกุลดูร์(และมันเป็นใคร) ทำไมซารูมาน ซึ่งเป็นผู้นำของเหล่าพ่อมด ถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับดาบแห่งมอร์กุล หรือแม้แต่ว่าทำไมกาลาเดรียลถึงเรียกกานดาล์ฟว่า "มิทธรันเดียร์" และมีแววตาที่มองดูกานดาล์ฟเกินกว่าจะเป็นแค่เพื่อน ทำให้ช่วง 1 ชั่วโมงแรก รู้สึกเฉื่อยจนบางทีก็เกือบง่วง แต่ก็มีฉากเจอสัตว์ประหลาดและฉากต่อสู้สลับกันบ้างเพื่อไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป ผมคิดว่าภาคต่อไปจะมีฉากต่อสู้ที่มากกว่านี้เพราะได้เกริ่นนำทุกอย่างไว้ในภาคนี้แล้ว นอกจากนี้โลเกชั่นที่ใช้ถ่ายทำก็มีโทนที่เข้ากับอารมณ์ของหนัง งาน CG สมจริงดี คงไม่ต้องบอกอะไรมาก เทคนิค Motion Capture ของพี่แอนดี้ เซอร์กีส ในการเล่นเป็นกอลลัม ยังคงมีมนต์ขลังอยู่เสมอ

ความยิ่งใหญ่ของฉากต่อสู้เป็นอีกจุดเด่นของหนัง ที่ภาคนี้ได้สร้างฉากรังของเผ่าก๊อบบลิ้นไว้ในภูเขาที่เผ่าคนแคระและบิลโบตกลงไป ก่อนที่ต่อมาบิลโบจะได้เจอกับกอลลัม และได้พบกับ "ของรัก" ส่วนเหล่าคนแคระก็ได้รับความช่วยเหลือจากกานดาล์ฟ และการต่อสู้ระหว่างคนแคระกับเผ่าก๊อบบลิ้นก็เริ่มขึ้น มันไม่ใช่ฉากที่เราจะเห็นการต่อสู้กับแบบสูสี แต่จะเป็นการรุมกินโต๊ะของกอบบลิ้นซึ่งมีกำลังมากกว่านับพัน ต่อคนแคระแค่สิบกว่าคน

อย่างไรก็ตามข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือคนแคระไม่ได้โดดเด่นหรือบ่งบอกว่าใครมีของดีอะไร นอกเหนือจากธอริน(ผู้นำกลุ่ม) บาลิน(มือขวาของธอริน) และพี่น้องคีลี่กับฟีลี่(คีลี่จะใช้ธนูเป็นอาวุธ ส่วนฟีลี่จะถูกใช้ให้สังเกตการณ์บ่อยๆ) แต่ผมคิดว่าน่าจะเผยให้เห็นความสามารถของแต่ละคนในภาคต่อๆ ไป

Review: The Hobbit

สำหรับฉากที่จ่าจดจำคือการดวลปัญญาตอบปัญหาเชาว์ระหว่างบิลโบกับกอลลัม ซึ่งกอลลัมหวังจะกินบิลโบถ้าหากบิลโบแพ้ ส่วนบิลโบหวังจะได้ออกไปจากที่นี่ บิลโบจึงต้องใช้หัวคิดและไหวพริบให้มากเพื่อต่อกรกับกอลลัมที่ทั้งเจ้าเล่ห์และหิวกระหาย ใครจะอยู่ใครจะไปต้องไปติดตามดูกันเอาเอง เรื่องนี้สนุกครับสำหรับใครที่ชอบ LOTR จะยิ่งชอบครับ ใครยังไม่ได้ดู ก็ไปหาเช่ามาดูได้เลยครับ รับรองสนุกแน่

Copyright Notice

Copyright © 2014 FilmsInbound

All rights reserved.

Powered by Blogger

Super SEO created by Blogger Tuts

Published by GalleryBloggerTemplates.com