แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Fantasy แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Fantasy แสดงบทความทั้งหมด

Review: The Hobbit จุดเริ่มต้นของมหากาพย์แหวนครองพิภพ

Review: The Hobbit

การต่อสู้ การผจญภัย คำพูดปลุกใจ พ่อมด เวทย์มนต์ สัตว์ประหลาด เราเคยสัมผัสหนังแนวนี้กันมาแล้วในอดีต แต่จะไม่มีเรื่องไหนเลยที่ทำให้เราจดจำได้เหมือนกับ The Lord of the Rings ไตรภาค ที่ Peter Jackson ได้สร้างผลงานหนังมหากาพย์ชิ้นนี้มาประดับไว้ในความทรงจำของผู้ชมทั่วโลก ในช่วงปี ค.ศ. 2001-2003 จนถึงครั้งนี้ก็ได้เวลาเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดกันแล้ว ใน The Hobbit: An Unexpected Journey


The Hobbit สร้างขึ้นมาจากนิยายของ J. R. R. Tolkien ที่เรียงร้อยเรื่องราวสุดแฟนตาซีไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 มีเพียงเล่มเดียว และต่อด้วยเรื่องราวของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ไตรภาค แต่ Peter Jackson สามารถทำให้หนังสือนิยายเล่มเดียวนั้นกลายมาเป็นหนังความยาว 2 ชั่วโมงครึ่งแบบไตรภาคได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

หนังเริ่มต้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของเผ่นคนแคระ ซึ่งชำนาญงานช่างและงานเหมือง พวกเค้ามีอาณาจักรที่เต็มไปด้วยทองคำ จนกระทั่งวันนึง มีมังกรไฟ "สม็อก" เข้ามายึดเมือง ทำให้เหล่าคนแคระต้องระเห็ดพลัดถิ่นของตน กระจายไปยังดินแดนต่างๆ โดยหวังว่าซักวันจะได้กลับมาอยู่ในบ้านเกิดอีกครั้ง

หนังเล่าถึงตัวละคร บิลโบ แบ๊กกินส์ สมัยยังหนุ่ม บิลโบคือลุงของโฟรโด ฮอบบิทที่เป็นตัวเอกในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้บิลโบยังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และพยายามเขียนมันเป็นนิยายการผจญภัยของตนเอง บิลโบได้พบกับกานดาล์ฟ พ่อมดสีเทา และเชิญชวนบิลโบไปผจญภัย

Review: The Hobbit

บิลโบ เป็นฮอบบิทที่รักสงบ ตอนแรกก็ไม่ได้ตอบรับการผจญภัยแต่อย่างใด แต่หลังจากการปรากฏตัวของคาราวานคนแคระ ที่นำโดย ธอริน โอเคนชิลด์ ทายาทกษัตริย์คนแคระ ที่นำทุกคนมารวมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะกลับไปยึดบ้านเกิดเมืองนอนคืนมาจากมังกรไฟ หลังจากที่ไม่มีข่าวคราวว่าใครพบเห็นมังกรไฟมานานกว่า 60 ปี บิลโบจึงอยากเข้าร่วมการผจญภัยด้วย แม้ว่าธอรินจะมองว่าบิลโบไม่พร้อมจะรับมือกับภัยอันตรายต่างๆ ได้

แต่เมื่อถึงเวลาผจญภัยจริงๆ บิลโบ ถึงแม้ว่าจะต่อสู้ไม่เป็น แต่บิลโบมีไหวพริบ และมีโชคช่วยอยู่เสมอ ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้กานดาล์ฟดึงบิลโบมาร่วมทีม และการผจญภัยของก๊วนคนแคระกับ 1 พ่อมดและ 1 ฮอบบิทก็เริ่มต้นขึ้น

Review: The Hobbit

The Hobbit: An Unexpected Journey จะเดินเรื่องได้ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ The Lord of the Rings ฉากต่อสู้น้อยกว่า มีฉากการสื่อสารกันระหว่างตัวละครมากกว่า เพราะต้องการสื่อให้รู้ถึงเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด แนะนำตัวคนแคระแต่ละคน และมีปมให้คิดมากกว่าใน LOTR เช่น ทำไมเอลฟ์ที่นำโดยธรันดิลไม่ยอมช่วยเผ่าคนแคระ ทำไมจึงมีเนโครแมนเซอร์อยู่ในปราสาทโดลกุลดูร์(และมันเป็นใคร) ทำไมซารูมาน ซึ่งเป็นผู้นำของเหล่าพ่อมด ถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับดาบแห่งมอร์กุล หรือแม้แต่ว่าทำไมกาลาเดรียลถึงเรียกกานดาล์ฟว่า "มิทธรันเดียร์" และมีแววตาที่มองดูกานดาล์ฟเกินกว่าจะเป็นแค่เพื่อน ทำให้ช่วง 1 ชั่วโมงแรก รู้สึกเฉื่อยจนบางทีก็เกือบง่วง แต่ก็มีฉากเจอสัตว์ประหลาดและฉากต่อสู้สลับกันบ้างเพื่อไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป ผมคิดว่าภาคต่อไปจะมีฉากต่อสู้ที่มากกว่านี้เพราะได้เกริ่นนำทุกอย่างไว้ในภาคนี้แล้ว นอกจากนี้โลเกชั่นที่ใช้ถ่ายทำก็มีโทนที่เข้ากับอารมณ์ของหนัง งาน CG สมจริงดี คงไม่ต้องบอกอะไรมาก เทคนิค Motion Capture ของพี่แอนดี้ เซอร์กีส ในการเล่นเป็นกอลลัม ยังคงมีมนต์ขลังอยู่เสมอ

ความยิ่งใหญ่ของฉากต่อสู้เป็นอีกจุดเด่นของหนัง ที่ภาคนี้ได้สร้างฉากรังของเผ่าก๊อบบลิ้นไว้ในภูเขาที่เผ่าคนแคระและบิลโบตกลงไป ก่อนที่ต่อมาบิลโบจะได้เจอกับกอลลัม และได้พบกับ "ของรัก" ส่วนเหล่าคนแคระก็ได้รับความช่วยเหลือจากกานดาล์ฟ และการต่อสู้ระหว่างคนแคระกับเผ่าก๊อบบลิ้นก็เริ่มขึ้น มันไม่ใช่ฉากที่เราจะเห็นการต่อสู้กับแบบสูสี แต่จะเป็นการรุมกินโต๊ะของกอบบลิ้นซึ่งมีกำลังมากกว่านับพัน ต่อคนแคระแค่สิบกว่าคน

อย่างไรก็ตามข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือคนแคระไม่ได้โดดเด่นหรือบ่งบอกว่าใครมีของดีอะไร นอกเหนือจากธอริน(ผู้นำกลุ่ม) บาลิน(มือขวาของธอริน) และพี่น้องคีลี่กับฟีลี่(คีลี่จะใช้ธนูเป็นอาวุธ ส่วนฟีลี่จะถูกใช้ให้สังเกตการณ์บ่อยๆ) แต่ผมคิดว่าน่าจะเผยให้เห็นความสามารถของแต่ละคนในภาคต่อๆ ไป

Review: The Hobbit

สำหรับฉากที่จ่าจดจำคือการดวลปัญญาตอบปัญหาเชาว์ระหว่างบิลโบกับกอลลัม ซึ่งกอลลัมหวังจะกินบิลโบถ้าหากบิลโบแพ้ ส่วนบิลโบหวังจะได้ออกไปจากที่นี่ บิลโบจึงต้องใช้หัวคิดและไหวพริบให้มากเพื่อต่อกรกับกอลลัมที่ทั้งเจ้าเล่ห์และหิวกระหาย ใครจะอยู่ใครจะไปต้องไปติดตามดูกันเอาเอง เรื่องนี้สนุกครับสำหรับใครที่ชอบ LOTR จะยิ่งชอบครับ ใครยังไม่ได้ดู ก็ไปหาเช่ามาดูได้เลยครับ รับรองสนุกแน่

Review: Snow White and the Huntsman ตีความใหม่ แต่ไร้ซึ่งความตื่นเต้น

Snow White and the Huntsman



จากนิทานปรัมปราของฝรั่งที่เล่าสู่กันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่ายังเด็ก สู่แผ่นฟิล์มในยุคปัจจุบันด้วยรูปแบบที่ได้รับการตีความใหม่ ไม่ซ้ำกับเนื้อหาเดิมของนิทานต้นฉบับ พร้อมรึยังกับการผจญภัยในโลกแฟนตาซีกับเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ผู้งามเลิศในปฐพี

Snow White and the Huntsman กล่าวถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ (รับบทโดย Kristen Stewart) ผู้สูญเสียบิดาไปด้วยฝีมือของแม่มดใจโฉด ราเวนน่า (รับบทโดย Charlize Theron) นางคือหญิงรูปงามที่ทำให้พระราชาแม็กนัสหลงใหล และทำการอภิเษกกับราเวนน่า ก่อนจะถูกเธอสังหาร และนำกองทัพเข้ายึดปราสาท

โดยมีน้องชายเป็นคนช่วยเหลือ ราเวนน่าตั้งตนเป็นราชินีปกครองแผ่นดิน ส่วนขุนนางคนอื่นก็หนีไปอยู่ที่ปราสาทของดยุคแฮมมอนด์ ซึ่งภักดีกับกษัตริย์แม็กนัสที่ถูกลอบสังหาร ส่วนสโนว์ไวท์ก็ถูกจับขังไว้อีกด้านนึงของปราสาทราชินีราเวนน่า โดยราเวนน่าจะใช้กระจกวิเศษสอบถามว่าใครที่มีรูปโฉมงามที่สุดในปฐพี ซึ่งกระจกวิเศษก็ให้คำตอบที่นางพอใจอยู่เสมอ จนถึงวันที่สโนว์ไวท์โตเป็นสาว ส่วนราเวนน่าโรยราไปตามสังขารที่ไม่เที่ยง กระจกวิเศษจึงบอกว่าตอนนี้ความงามเลิศตกเป็นของสโนว์ไวท์แล้ว ราเวนน่ายอมไม่ได้ ต้องนำหัวใจของสโนว์ไวท์มาเพื่อความงามแบบอมตะ แต่ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถทำอะไรสโนว์ไวท์ได้เลย เธอหนีรอดเงื้อมมือของกองทหารของราเวนน่า และทุกคนที่ตามล่าเธอเพื่อราเวนน่า ทำให้สโนว์ไวท์ได้ไปถึงปราสาทของดยุคแฮมมอนด์ ก่อนจะรวมกำลังแล้วกรีฑาทัพกลับมาตีปราสาทของราเวนน่า เพื่อปลดแอกแผ่นดินต้องคำสาป แต่มีหรือที่ราเวนน่าผู้มีอิทธิฤทธิ์จะยอมง่ายๆ

หนังเดินเรื่องค่อนข้างเฉื่อยสำหรับผมครับ แล้วก็หลายๆ อย่างในหนังมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลซักเท่าไหร่ พอสโนว์ไวท์โตเป็นสาวแล้ว ราชินีที่ความงามกำลังโรยราก็พบว่าเธอคือเคล็ดลับนำไปสู่ความงามเป็นอมตะ แต่ด้วยความโชคดี หรือได้อะไรบางอย่างช่วยเหลือ ทำให้เธอรอดพ้นเงื้อมมือของชายฉกรรจ์อย่างน้องชายของราชินี และเหล่าทหารในเครื่องแบบติดอาวุธมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังได้ขี่ม้าหนีกองทหาร ใช่ครับ หญิงสาวที่ติดคุกมาตั้งแต่เด็ก เจอม้าครั้งแรกหลังจากออกจากคุก ขี่ม้าเก่งกว่าทหารทั้งกองอีก แต่มันเป็นหนังแฟนตาซีครับ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นไปได้

Snow White and the Huntsman

ในเรื่องของการแสดงของตัวละคร นายพราน Chris Hemsworth บทบาทที่ต้องดุดัน แอ๊คชั่นบู๊ยังทำได้ดี แต่การแสดงถึงความรักแบบแอบรักข้างเดียวต่อสโนว์ไวท์ ดูแข็งจริงๆ ดูแล้วเชื่อได้ยากว่านี่แอบรักเธออยู่นะ ขณะทีตัวของ Kristen Stewart เธออาจเป็นคนสวยในแวมไพร์ทไวไลท์ครับ แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าจดจำสำหรับบทบาทสโนวไวท์ ไม่สะดุดตา การแสดงพลังในการโน้มน้าวชาวเมืองก็ดูไม่มีพลังพอที่จะทำให้คนยอมถือดาบออกไปสู้กับกองทัพ ส่วนเหล่าคนแคระ ก็ไม่ค่อยวุ่นวายหรือสร้างเสียงฮาได้ซักเท่าไหร่ คนที่มีพลังมากที่สุดสำหรับหนังเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้น Charlize Theron ที่งัดฝีไม้ลายมือในการแสดงออกมา จนทำให้เธอดูน่าเกรงขามเวลาแสดงอำนาจ และน่าสงสารในยามที่เธอกำลังโรยรา และถ้าผมเป็นกระจกวิเศษคงจะบอกว่าเธองามเลิศในปฐพีจริงๆ

Snow White and the Huntsman

สิ่งที่หนังทำได้ดีคืองานสร้างฉากครับ กราฟฟิคเนียนมาก จนถึงขั้นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2012 สาขาเอฟเฟคท์ยอดเยี่ยม และเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม แม้ว่าจะปิ๋วไปทั้งคู่ แต่มันก็เหมาะสมจริงๆ ครับ ฉากป่ามืดที่คอยหลอกหลอนสโนว์ไวท์นั้นสมจริง แถมฉากในป่าของภูติและเทพก็สวยงาม สดใส และมีชีวิตชีวาครับ ฉากการพบกับกวางเขางามนั้นเป็นช่วงที่ผมประทับใจที่สุดในเรื่องแล้ว เพราะบรรยากาศตอนนั้นดูสดใสและมีสีสันที่สุดในหนังที่เน้นโทนสีหม่นและมืดมน เรียกว่าตอนเห็นกวางเขางามกลางธรรมชาติ และดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ต้องมีคนรู้สึก "ฟิน" กันบ้างแน่ๆ

Snow White and the Huntsman

Snow White and the Huntsman ทุนสร้าง 170 ล้านเหรียญ และทำรายได้ไปเยอะถึง 396 ล้านเหรียญครับ ผมไม่แน่ใจว่าหนังมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ หรือเพราะกระแสของเรื่องฉาวระหว่างนางเอกที่ดันไปคบชู้กับผู้กำกับของเรื่องก็ไม่รู้นะครับ แต่ที่แน่ๆ ถ้าผมไปดูเรื่องนี้ที่โรงหนัง ผมต้องรู้สึกเสียดายตังค์แน่ๆ แค่เช่ามาดูเวลาไม่มีอะไรทำดีกว่าครับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

Copyright Notice

Copyright © 2014 FilmsInbound

All rights reserved.

Powered by Blogger

Super SEO created by Blogger Tuts

Published by GalleryBloggerTemplates.com