แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Exclusive แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Exclusive แสดงบทความทั้งหมด

Exclusive: 00:00

Midnight's Children

ถ้าเปรียบอินเดียเป็นกระป๋องน้ำอัดลม และวัฒนธรรมอินเดียเป็นน้ำหวานในกระป๋อง พนันได้เลยว่า เมื่อไหร่ที่เปิดกระป๋องน้ำอัดลมนี้ น้ำหวานต้องพุ่งเข้ากระแทกหน้าผู้ที่เปิดเป็นแน่

อินเดีย..ประเทศซึ่งมีภาษาพูดใช้กันหลักๆ 16 ภาษา และภาษาถิ่นอีกกว่า 100 ภาษา เป็นไปได้ว่า การประดิษฐ์ดิกชันนารี อาจเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ดีทีเดียวในอินเดีย นอกจากนั้น อินเดียยังเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาพุทธและพราหมณ์ มีศาสนาให้เลือกนับถือศรัทธากันทั้งฮินดู อิสลาม ศริสต์ พุทธ รวมๆ แล้วมีประมาณ 400 ศาสนาทั่วทั้งอินเดีย


ด้วยความหลากหลายในแขนงแต่งต่างๆ ที่รวมกันอยู่ในประเทศนี้ ทำให้ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ที่เล่าถึงอินเดีย มักจะมีความสดใหม่รออยู่เสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง The Darjeeling Limited(2007), Slumdog Millionaire (2008), Life of Pi (2012) จนมาถึง Midnight's Children (2012)

อินเดีย ที่ถูกปกครองโดยอักกฤษมานานกว่า 70 ปี กำลังรอห้วงเวลาสำคัญ 00:00 ของวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 การเกิดใหม่ของอินเดีย กับการแกะห่อของขวัญวันเกิดชิ้นแรก สิ่งที่อยู่ข้างในคืออิสรภาพ แต่เที่ยงคืนเดียวกันนั้น ไม่ได้มีแค่อินเดีย ที่เกิดใหม่ แต่ยังมีกลุ่มเด็กจำนวนหนึ่งซึ่งคลอดออกมาใกล้ๆ กับช่วงที่อินเดียประกาศอิสรภาพ กลุ่ม "เด็กเที่ยงคืน" พวกเขาเรียกตัวเองว่าอย่างนั้น

กลุ่มเด็กซึ่งจะเติบโตไปพร้อมๆกับอินเดียยุคใหม่ ดำเนินชีวิตร่วมกับประวัติศาสตร์ของอินเดีย ผ่านกลุ่มชาติพันธ์ ผ่านศาสนา ชนชั้นวรรณะ และแน่นอน นโยบายของรัฐ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการบอกว่าชีวิตควรหรือไม่ควร ดำเนินไปในทางใดในประเทศอินเดีย

แต่ถึงกระนั้น เด็กชายผู้มีจมูกที่โตเป็นพิเศษ ผู้เกิดมาพร้อมพลังวิเศษก็ยังได้รับเพลงกล่อมเด็กประจำตัว มีเนื้อหาเชิง "เจ้าจะเป็นอะไรก็ได้ ตามที่เจ้าต้องการ" บอกเป็นนัยว่า “เราสามารถออกแบบชีวิตเราได้ ไม่มากก็น้อย”

หากตัดเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปให้หมด

หากปลายปากกาของผู้ประพันธ์ผลงาน ไม่ลากไปโดนปมประวัติศาสตร์การเมืองอินเดีย อาจจะพอเห็นภาพของ Forrest Gump เวอร์ชั่นภารตะได้ลางๆ ซึ่งแปลว่า
เล่าเรื่องร้ายได้ตลก อบอุ่นและไม่อาจคาดเดา

โดย merablur
ภาพยนตร์ Midnight's Children

Exclusive: One Game at a Time

Wrek-it Ralph

ตำรวจ-ผู้ร้าย, นางเอก-ตัวอิจฉา , อุลตร้าแมน-มนุษย์ดาวบัลตั้น !! เป็นสูตรสำเร็จของโลกไปซะแล้ว หากจะต้องการเชิดชูความดีงามและคุณธรรมอันสูงส่งของมวลมนุษยชาติ ง่ายดายมาก แค่ทำตัวร้ายให้ดูอัปลักษณ์(ยกเว้นนางร้ายละครไทย) ทำตัวเอกให้ดูเฟิร์มมีซิกแพค อวดอ้างด้วยสรรพคุณเหนือจริงอีกสักหน่อยเพียงเท่านี้ฉากจบ ก็คงไม่พ้นต้องเห็นความพินาศย่อยยับของตัวร้ายเสมอไป


แต่จะเกิดอะไรขึ้น หากตัวร้ายไม่ยอมทำงาน ละทิ้งหน้าที่จอมวายร้าย งอนแงนสังคมที่ชอบชี้หน้าตีตราเป็นคนเลว ทีนี้พระเอก,ฮีโร่เหล่าผู้ผดุงคุณธรรม ก็ไม่มีวายร้ายให้กระหน่ำโจมตีปราบปรามอีกต่อไป คุณธรรมความดี จะไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูโอ่อ้างกันอีกต่อไป มันจะกลายเป็นเพียง สิ่งปรุงแต่งดาษดื่น หากจะกระชับให้สั้น ตัวร้าย เป็นตัวที่ช่วยส่งเสริมพระเอกให้โดดเด่น โลดแล่นเกินจริงกว่าที่มันควรจะเป็น ถ้าโลกเรามีแต่ฮีโร่ ทุกๆคนเป็นฮีโร่ ฮีโร่คนดี ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ เช่นนั้นเอง

Wrek-it Ralph

ไม่ผิดแปลกอะไร หากสักวันในความคิดของผู้ร้าย อยากรับบทฮีโร่บ้าง อยากได้เสียงปรมมือเยินยอบ้าง ในทุกๆวัน มีผู้คนมากมายที่ยังคงใฝ่ฝันอย่างต่อเนื่อง ถึงในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เราต้องจำน้อมรับว่างานบางงาน อาชีพบางอาชีพ ไม่ได้ถูกสร้างและมีไว้สำหรับเราทุกคนบางงานบางอาชีพมันถูกสงวนไว้สำหรับคนประเภทหนึ่งเท่านั้น เราไม่อาจประสบความสำเร็จเฉกเช่นบุคคลอื่น แต่เราเลือกที่จะประสบความสำเร็จในรูปแบบของเราเองได้

Wrek-it Ralph

บ่นได้บ้าง ตัดพ้อได้บ้าง ไม่เป็นไร หากแต่ต้องตระหนัก และเข้าใจถ่องแท้ ของคำว่า "หน้าที่" พยายามมองหาความสุขเล็กน้อยที่ได้จากงาน ชื่นชมยินดีกับความสุขเล็กน้อยนั่น หันกลับมามองดูความสามารถของตัวเอง ชมตัวเองบ้าง ให้รางวัลตัวเองบ้าง ถึงไม่ได้เป็นฮีโร่ในสายตาผู้อื่น ก็ไม่เป็นไร เป็นฮีโร่ในสายตาคนรอบข้าง และเป็นฮีโร่ให้ตัวเอง ย่อมทำได้โดยไม่ต้องขัดเขิน

Wrek-it Ralph

ราล์ฟ วายร้ายจอมทุบ กล่าวไว้ว่า

"I'm bad and that's good. I will never be good and that's not bad. There's no one I'd rather be, than me."
"ฉันเลวซึ่งนั้นก็ดี ฉันจะไม่มีวันเป็นคนดี ซึ่งนั่นก็ไม่เลว ไม่มีใครที่ฉันอยากจะเป็น ไปมากกว่าตัวฉันเองอีกแล้ว"

โดย merablur
หนัง Wreck-It Ralph : ราล์ฟ วายร้ายหัวใจฮีโร่

Exclusive: ใครเหมาะจะเป็น Lara Croft คนต่อไป?

Lara Croft - Tomb Raider

จากข่าวคราวการประกาศรีบู๊ตหนังเวอร์ชั่นใหม่ให้กับ Tomb Raider ก็มีคำถามต่อมาครับว่า "ใครเหมาะจะเป็น Lara Croft คนต่อไป?" วันนี้เราลองมาสำรวจความคิดเห็นจากแฟนๆ ของเกมนี้กันครับว่าใครเหมาะที่สุดที่จะมาผจญภัยในฐานะลาร่า ครอฟต์

แฟนๆ ของ Tomb Raider ต่างก็มีแคนดิเดตในดวงใจสำหรับบทบาทลาร่า ครอฟต์ อยู่แล้ว และได้แสดงความคิดเห็นผ่านทาง Comingsoon ครับ ซึ่งมีหลากหลายตัวเลือก เช่น


Camilla Luddington

Camilla Luddington ซึ่งเป็นผู้ให้เสียงตัวละครลาร่า ครอฟต์ ในเกมเวอร์ชั่นล่าสุด รวมไปถึงการเคลื่อนไหวผ่านเทคนิค Motion Capture ด้วย แน่นอนว่าเธอต้องเป็นชื่อแรกๆ ที่แฟนๆ อยากให้ได้รับบทในหนัง

Emilia Clarke

Emilia Clarke นักแสดงสาวจากซีรี่ส์ Game of Thrones

Emma Watson

Emma Watson เราจดจำเธอได้เป็นอย่างดีในบทบาทของเฮอร์ไมโอนี่จากแฮรี่ พอตเตอร์ นอกจากนี้เธอยังเป็นนักแสดงจากประเทศอังกฤษ ทำให้แฟนๆ ลาร่า ครอฟต์ อยากให้เธอได้รับบทนี้ (จากเนื้อเรื่องในเกม ลาร่า ครอฟต์ เป็นชาวอังกฤษ)

Gina Carano

Gina Carano นักแสดงสาวจาก Haywire เรื่องบู๊เป็นเรื่องถนัดของเธออยู่แล้ว

Kate Beckinsale

Kate Beckinsale นางเอกสาวที่พิสูจน์ฝีมือการเป็นนักแสดงหนังบู๊มาแล้ว จาก Underworld

Jennifer Lawrence

Jennifer Lawrence ซึ่งกำลังโด่งดังจาก The Hunger Game และ Silver Lining Playbook ก็มีแฟนๆ เชียร์ให้เธอได้บทนี้เช่นกัน

Lyndsy Fonseca

Lyndsy Fonseca เราเห็นเธอใน Kick Ass กันมาแล้ว และเธอก็เป็นอีกหนึ่งแคนดิเดตที่แฟนๆ ลาร่า ครอฟต์ อยากเห็นเธอมาผจญภัยใน Tomb Raider

Olivia Wilde

Olivia Wilde นักแสดงสาวจาก TRON: Legacy, In Time, Dead Fall เป็นนักแสดงที่มีแววตาน่าค้นหา ก็เป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่น่าสนใจสำหรับลาร่า ครอฟต์

นอกเหนือจากนี้ยังมี Megan Fox, Jennifer Lopez, Gemma Aterton, Rebecca Hall ที่ได้รับการเสนอชื่อจากแฟนๆ Tomb Raider ครับ เราคงต้องคอยดูกันต่อไปว่าใครจะได้รับบทสาวนักผจญภัยชั้นยอด แต่สำหรับผมแล้วอยากให้ Olivia Wilde ได้เล่นเป็นลาร่า ครอฟต์ แล้วคุณล่ะคิดว่าไงครับ ร่วมเสนอความคิดเห็นมาได้ด้านล่างเลยครับ

Exclusive: Departures ผู้โดยสารขาออก

Departures



วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2556 ผมมีโอกาสได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งกิจกกรรมโปรดตอนกลางคืนของผมนั้นแสนจะง่ายดาย มือซ้ายถือขวดเบียร์ มือขวาถือรีโมททีวี การจิบเบียร์พร้อมกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย เป็นนิสัยแย่ๆที่เกาะติดตัวผมไปแล้วแต่นิสัยที่ว่าแย่ของผมนั้นกลับต้องมาพ่ายแพ้ แก่หนังที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน มันกำลังฉายอยู่ในช่องฟรีทีวี รายการ "หนังใหญ่"


โดยปกติแล้ว ผมจะถูกชักจูงได้ง่ายโดยการใช้สี กับสิ่งของหรืออะไรก็แล้วแต่ บางครั้งผมเลือกซื้อยาสีฟันโดยดูแค่สีของกล่อง แค่สีของมันถูกใจผม เรื่องส่วนผสมเยอะแยะอะไรนั้น ก็ไม่มีความหมาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน หนังที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน กำลังชักจูงผมโดยโทนสีของภาพ ณ ช่วงขณะเวลาหนึ่ง ผมวางรีโมททีวีลง และกระดกเบียร์อึกใหญ่ๆ พรวดลงคอ

"ความตาย" กับการรับรู้ของผม ไม่สามารถตีออกมาเป็นค่าคะแนนได้ ใช่ว่าผมจะเข้าใจมันดี ขอโทษด้วย ผมยังไม่เคยตายมาก่อน และไม่ใช่ว่า ผมจะไม่เข้าใจมันเอาเสียเลย ผมเคยสูญเสียญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตอนผมอายุได้ 3-4 ขวบ เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ที่พึ่งเกิดมาได้ 3-4 ปีอย่างผม รับรู้ถึงความตาย ผมจำภาพตัวเอง นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงบันไดบ้าน ผมไม่ได้ร้องไห้เสียใจที่เสียญาติผู้ใหญ่ไปในครั้งนั้น แต่ผมร้องไห้ด้วยความตกใจสุดขีด ที่พึ่มารู้เอาเดี๋ยวนั้นเองว่า “ในสักวัน ทุกคนที่ผมรักต้องตายและผมเองก็ต้องตายเช่นกัน” ........เด็กหนอเด็ก

Departures

หนังเรื่องนี้เล่าถึงอาชีพ โนคังชิ ในประเทศญี่ปุ่น ลักษณะงานคือ เมื่อมีคนตายขึ้นมา ญาติผู้ตายจะติดต่อโนคังชิให้มาที่บ้านของผู้ตาย โนคังชิจะทำหน้าที่แต่งตัว แต่งหน้าหวีผม นำศพลงโลง ก่อนที่จะนำศพไปเผาหรือประกอบพิธีกรรมอื่นๆต่อไป จากตัวหนัง คนญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้พิศมัยกับอาชีพนี้เอาซะเลย ทำให้ผมย้อนนึกถึง บทความหนึ่งซึ่งผมเคยอ่านผ่านตาในหนังสือเล่มหนึ่ง (ขอโทษจริงๆผมจำชื่อหนังสือไม่ได้)เขียนเล่าถึงคำตัดเพ้อของชายแก่เจ้าของร้านขายโรงศพ "ตั้งแต่ผมมาทำอาชีพนี้ เพื่อนฝูงที่เคยคบหากัน ก็หายไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ไม่มีเพื่อนแล้ว"

Departures

โนคังชิในประเทศญี่ปุ่นเอง ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เป็นอาชีพที่น่ารังเกียจในสายตาผู้คน แต่ที่สะท้อนกลับไปกลับมาในหัว คือความรักในอาชีพ ความเสียสละ ความเป็นมืออาชีพ ที่โนคังชิทำให้ศพที่ดูเย็นชืดกลับมาดูคล้ายมีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่รังเกียจที่จะแตะต้องศพ ทำความสะอาดศพในทุกซอกทุกมุม ด้วยความชำนาญและความประณีต อย่างมีศิลป์และด้วยความเคารพแก่ผู้เสียชีวิต ซึ่งทุกครั้งก็ทำให้ญาติผู้เสียชีวิตที่นั่งเฝ้าสังเกตุการทำงานของเขาอยู่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ ในตอนที่เขาทำงานของเขาเสร็จ ศพแล้วศพเหล่าที่ผ่านฝีมือของเขามา ดูเหมือนแค่กำลังหลับอยู่จริงๆ และสุดท้ายแล้วผู้คนที่รังเกียจอาชีพโนคังชิ จะรู้สึกขอบคุณและเลิกรังเกียจไปเอง ในวันที่เขาเหล่านั้นยกหูโทรศัพท์ เรียกโนคังชิ มาแต่งศพผู้เป็นญาติของตัวเอง

Departures

และในหนังบอกเล่าแนวคิดเรื่องความตายไว้อย่างน่าสนใจว่า

ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด ความตายคือประตูบานหนึ่ง ซึ่งนำพาเราไปสู่การเดินทางครั้งใหม่ การเดินทางที่ผู้ที่ออกเดินทางไม่มีโอกาสกลับมาเล่าประสบการณ์ การเดินทางที่ลี้ลับแต่ทว่าเรียบง่าย การเดินทางที่ไม่มีกำหนดการและพวกเราก็สามารถออกเดินทางครั้งใหม่นี้.....ได้ในทุกๆ วัน

คุณคงได้ยินคำพูดประมาณว่า "ทำซะตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาส ดีกว่ามาบอกรักกัน ขอโทษกัน ตอนที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน" มากันเยอะแล้วใช่มั้ยครับ ถึงยังไงซะ ผมก็ยืนยันความหมายตามนั้นจริงๆ เพราะคนที่กำลังจะเดินทางไกล ประตูผู้โดยสารขาออกของเขาเปิดแล้ว ผมว่าเขาไม่มัวมาฟังคำพูดของคนมีชีวิตกระมังครับ

โดย merablur
ภาพยนตร์ Departures

Exclusive: Would you mind? If I spoil …

Seeking a Friend for the End of the World



มันมักจะมีอะไรหม่นๆ ในภาพยนตร์แนวตลกร้ายอยู่เสมอ แกะกล่องDVDเรื่องล่าสุด ชื่อหนังอ่านออกเสียง นับได้สิบพยางค์พอดิบพอดี มีผู้คน ชอบตั้งคำถามแนวประมาณว่า "ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตคุณ คุณจะทำอะไรบ้าง?" และก็มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ศรัทธาในข้อคิดประมาณว่า "จงทำทุกวัน ให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต"

แต่นั่นเป็นแค่การจากไปเพียงตัวคนเดียว หาใช่หมู่คณะ


โจเซฟ สตาลิน เคยพูดว่า "คนตายหนึ่งคนเป็นเรื่องเศร้า แต่คนตายล้านคนเป็นสถิติ"

แน่ละ เรื่องอุกกาบาตพุ่งชนโลก ผู้คนทั้งโลกล้มตาย ต้องเป็นเรื่องของสถิติแน่ๆ แต่คำถามคือ "คนทั้งโลก" จะจัดการกับชีวิตที่เหลือแค่สี่อาทิตย์ ยังไง?

Seeking a Friend for the End of the World

การที่อุกกาบาตพุ่งชนโลก ถือเป็นเครื่องมือปรับเรียบสถานะ ชนชั้น รูปร่างหน้าตาและตัวเลขในสมุดบัญชี ทุกคน ทุกชนชั้น ทุกๆระบอบการปกครอง จะเท่าเทียมกัน ในวันที่อุกกาบาตแตะพื้นผิวโลก
และนอกจากนั้น มันยังเป็นกุญแจที่ปลดปล่อยจิตใต้สำนึก ของผู้คนเหล่านั้นออกมา เราจะป่าเถื่อน บ้าคลั่งได้เพียงไร? หรือเราจะประเสริฐและอารีได้มากแค่ไหน? ถ้ารู้กันว่า เรามีเวลาเหลือเท่าๆกันแค่สี่อาทิตย์

Seeking a Friend for the End of the World

บางกลุ่มเลือกที่จะจัดปาร์ตี้เซ็กส์หมู่ ก่อจราจล บางคนเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า บางคนถือโอกาสชิ่งหนีคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมา บางกลุ่มเลือกที่รับมือ ด้วยการสร้างหลุมหลบภัยและกักตุนอาหาร บางคนเลือกที่จะใช้เวลาสุดท้ายกับครอบครัว สิ่งเหล่านี้ ชวนให้คิดว่า ในสถานการณ์ปกติสุข คนเราจะถูก จารีต ประเพณี ค่านิยม กดทับต่อจิตใต้สำนึก ช่วยเตือนสติ ห้ามทำนู้น ห้ามทำนี่ ต้องทำอย่างนู้นซิ ถึงจะเรียกว่าคนดี ต้องทำอย่างนี้ซิ ถึงจะเรียกว่า ถูกต้อง แต่สุดท้าย พอโลกจะแตก ก็ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ความดีความชั่ว ที่สังคมใช้เป็นไม้บรรทัด

Seeking a Friend for the End of the World

สุดท้ายคนเราก็แค่กลัวคำตัดสินจากปากคนอื่น ถ้าไม่มีเขาไม่มีเราในวันพรุ่งนี้ ตัวเองจะดีหรือจะชั่วนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ความสำคัญอีกต่อไป ก็คล้ายๆกับการกระทำใดกระทำหนึ่ง ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น การโดยสารรถเมล์ในเมืองใหญ่ ก็ไม่เห็นต้องลุกให้ใครนั่งเลย คนทั้งคันรถ ไม่มีใครรู้จักกันอยู่แล้ว หรือจะเป็นการขอด่าส่งเจ้านาย ในวันทำงานวันสุดท้าย ไหนๆก็จะลาออกแล้วนิ

แต่ในสถานการณ์อันเลวร้าย คนประเภทไหนล่ะ จะเป็นผู้ที่รับมือกับมัน ได้ดีกว่ากัน? ระหว่าง คนมองโลกในแง่ร้ายหรือคนมองโลกในแง่ดี ในภาวะที่โลกปกติสุข คนมองโลกในแง่ดี จะดูเป็นคนติดชิลล์ เป็นบุคคลที่น่าเข้าหา คนมองโลกในแง่ร้ายอาจดูหมกหมุ่นและครุ่นคิด แต่หากจัดฉากให้โลกแตก จับคนสองประเภทนี้โยนลงไป คนที่พร้อมรับมือในสถานการณ์โลกแตกกลับเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ส่วนคนมองโลกในแง่ดีน่ะหรอ เรียกว่าบ้าคลั่งก็ยังได้ อาจเป็นเพราะ คนมองโลกในแง่ร้าย จะพยายามประเมินสถานการณ์ให้มันดูแย่กว่าที่มันเป็น เพื่อเตรียมรับมือ หาทางหนีทีไล่ เป็นพวกที่ตกลงมาและมีตาข่ายรองรับ ส่วนคนมองโลกในแง่ดี เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นจริง การมองหาส่วนดีในสิ่งที่เลวร้าย ก็ไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาได้จริงๆ

Seeking a Friend for the End of the World

แต่เมื่อวินาทีที่อุกกาบาตพุ่งชนโลกนั้นมาถึง ทั้งคนมองโลกในแง่ดีและคนมองโลกในแง่ร้าย ก็ไม่มีโลกใบไหน ที่พวกเขาจะต้องมองอีกต่อไป…………………..พวกเขากลับหันมามองกันเอง


ที่มา merablur
ภาพยนตร์ Seeking a Friend for the End of the World

Copyright Notice

Copyright © 2014 FilmsInbound

All rights reserved.

Powered by Blogger

Super SEO created by Blogger Tuts

Published by GalleryBloggerTemplates.com