แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Action แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Action แสดงบทความทั้งหมด

Review: Fast and Furious 6 เร็ว แรงทะลุนรก

Fast and Furious 6

รีวิวหนัง Fast and Furious 6 หนังเรื่องที่ 6 ของตระกูล Fast & Furious ที่ผู้กำกับจัสติน ลิน ผู้ที่เข้าถึงอารยธรรมของหนังบู๊สไตล์รถซิ่งวิ่งระเบิดถล่มภูเขาเผาตึก ได้สร้างความมันส์ระดับ 5 ดาวไว้เป็นที่จดจำก่อนที่หนังภาค 7 ซึ่งน่าจะเป็นบทสรุปของหนังตระกูล Fast จะเปลี่ยนมือไปเป็นผู้กำกับเจมส์ วาน ที่ถนัดหนังสยองขวัญ (Saw, Insidious, The Conjuring) ดังนั้นภาคนี้อาจจะเป็นภาคสุดท้ายที่เราจะได้กลิ่นอายความมันส์ในแบบ Fast ภาคนี้จัสติน ลิน จึงจัดเต็มในทุกๆ ฉาก ที่จะตรึงทุกสายตาและกระตุ้นอะดรีนาลินในร่างกายของคนดู เป็นการส่งท้ายก่อนจะวางมือ และหันไปทำโปรเจ็คท์ใหม่ครับ


สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูภาคก่อนหน้านี้ อาจจะงงหรือไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ผมแนะนำให้ไปหาดูมาก่อนทั้ง 5 ภาคเลยนะครับ แล้วคุณจะเห็นพัฒนาการของหนังที่เดิมตั้งแต่ภาคแรกผู้กำกับเป็นร๊อบ โคเฮน ต่อมาก็เป็นจอห์น ซิงเกิลตัน และมาเป็น จัสติน ลิน ตั้งแต่ภาคที่ 3 ที่จัสติน ลิน พยายามใส่ลงไปให้หนังของเค้ามีความสดใหม่ จึงเป็นแฟรนไชส์หนังที่ไม่น่าเบื่อเลย

สำหรับ Fast and Furious 6 เดินเรื่องต่อจากภาคที่แล้วทันที หลังจากที่สมาชิกทุกคนวางมือสำหรับชีวิตโจรขโมยรถแล้ว แต่เหตุที่ทำให้ดอมินิก ทอเร็ตโต้ ต้องเรียกทั้งทีมมาเพื่อลุยในภารกิจเสี่ยงตายอีกครั้ง เป็นเพราะสิ่งที่ถูกทิ้งท้ายไว้ในช่วงหลังเครดิตในภาคที่ 5 นั่นเอง ต้องให้เครดิตแก่คริส มอร์แกน ผู้เขียนบทมาตั้งแต่ The Fast and the Furious: Tokyo Drift เค้าวางโครงเรื่องเอาไว้ดีมาก ที่ทำให้หนังโจรกรรมรถ หรือแข่งรถซิ่งบนท้องถนน กลายเป็นหนังที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สเกลของหนังที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ฉากเสี่ยงตายที่อันตรายมากขึ้น มีตัวละครใหม่ๆ เข้ามาเสริมอรรถรส จนมันดูยิ่งใหญ่ครับ โดยเฉพาะภาค 6 นี้ เป็นงานสร้างหนังที่ยิ่งใหญ่ และมีเอกลักษณ์ของ Fast ครับ เพราะภาคที่แล้วเปลี่ยนสไตล์ไปเป็นหนังแอ๊คชั่นแบบเต็มตัว ที่แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้ แต่มันไม่กินใจแฟนหนังขาซิ่งครับ แต่สำหรับภาคนี้ จัสติน ลิน นำเอาเอกลักษณ์เดิมของ Fast กลับมา มีกลิ่นอายของหนังแข่งรถที่เต็มไปด้วยสีสัน สาวสวยที่ต้องคู่กับรถสวย เสียงดนตรีแนวฮิพฮอพ R&B มุกตลกโปกฮาที่พาเราขำก๊ากได้แบบไม่ต้องกั๊ก ภาคนี้ได้ดูอย่างจุใจครับ

Fast and Furious 6

สำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้เหล่าเพื่อนผองนักซิ่งของดอมต้องพบกับศัตรูใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าทุกภาค และเป็นภารกิจที่เสี่ยงตายมากกว่าภาคไหนๆ ในแง่ของเหตุผลว่าทำไมต้องเสี่ยง ถ้าใครได้ดูแล้วจะพบว่าเหตุผลที่ทุกคนรับงานนี้มันคุ้มค่ามาก นอกเหนือจากดอมที่รับงานนี้เพราะเรื่องส่วนตัว แต่งานเสี่ยงย่อมมีการสูญเสียครับ ภาคนี้จึงมาเต็มทั้งอารมณ์และความรู้สึกแบบสุข สนุก ขำขัน ตื่นเต้น ระทึก และเศร้าโศก

และหนึ่งในสิ่งที่หลายๆ คนเคยมีคำถามว่า
"ตกลงแล้วพี่ฮาน ตายตั้งแต่ภาค Tokyo Drift แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมาโผล่ในภาค 5 ได้ล่ะ?"
จะได้คำตอบเฉลยให้เราได้ชมกันท้ายเครดิตของหนังภาค 6 ครับ และจะเป็นชนวนชั้นดีสำหรับการเดินเรื่องในภาคต่อไป ที่จะต้องลุ้นกันว่า Fast 7 ที่ได้เจมส์ วาน กำกับ จะทำได้ดีเหมือนหนังมาสเตอร์พีซของจัสติน ลิน หรือไม่ สำหรับผม ภาคนี้ได้ใจไปเต็มๆ สะกดทุกสายตา และตรึงเอาไว้ได้แบบอยู่หมัด ภาคนี้แนะนำว่าต้องไปดูให้ได้ครับ หนังดีระดับ 5 ดาวเลย

Review: The Last Stand นายอำเภอคนพันธุ์เหล็ก

The Last Stand

หลังจากหมดวาระทางการเมือง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ (ถูกรึเปล่า ชื่อยาวจริง) ก็กลับมารับเล่นหนังอีกครั้ง แม้ว่าอายุอานามจะล่วงเลยมาจนถึง 65 ปีแล้ว ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัย แต่ฝีไม้ลายมือในการแสดงยังคงฟิตปั๋ง แถมยังรักษาหุ่นล้ำบึ๊กเอาไว้ได้ แม้จะอ้วนขึ้นบ้าง แต่ก็นับว่าหุ่นป๋าแกบึ๊กสมกับที่เคยเป็นนักเพาะกายมาก่อน และครั้งนี้ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชาวเกาหลี คิมจีวุน ในหนังแอ๊คชั่นเรื่อง The Last Stand นายอำเภอคนพันธุ์เหล็ก ด้วยการรับบทนำในเรื่อง เป็นนายอำเภอเรย์ โอเว่น หัวหน้าผู้รักษากฎหมายท้องถิ่น ในวัยใกล้เกษียณ


The Last Stand

The Last Stand ว่าด้วยเรื่องของนายอำเภอ เรย์ โอเว่น อดีตตำรวจปราบยาเสพติดที่เคยมีอดีตฝังใจ จนหมดไฟในงานตำรวจ และมารับหน้าที่รักษากฎหมายในชนบทห่างไกลที่แสนสงบ ในเมืองแซมเปิลตัน จนวันนึงโคตรเจ้าพ่อยาเสพติด เกเบรียล คอร์เตซ ซึ่งถูกเอฟบีไอจับตัว ดันหลบหนีออกมาได้ด้วยแผนเหนือชั้นจนเอฟบีไอไม่สามารถติดตามได้ และมีแผนจะหลบหนีผ่านเส้นทางของเมืองแซมเปิลตัน ทำให้นายอำเภอใกล้เกษียณคนนี้ต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อปกป้องเมืองและไม่ปล่อยให้คนนอกกฎหมายทำอะไรได้ตามใจชอบ

หนังเดินเรื่องได้เร็ว กระชับ มีฉากแอ๊คชั่นสลับกับมุขตลกของนักแสดง แม้ว่าเรื่องนี้จะได้เห็นฉากแอ๊คชั่นแบบโหดเลือดสาดเนื้อหนังหลุดวิ่นเป็นชิ้นๆ ก็เถอะ แต่ด้วยมุขตลกที่แฝงอยู่ทำให้หนังไม่ดูเครียดจนเกินไปครับ โดยเฉพาะฉากขโมยซีนของคุณยาย ทำเอาผมก๊ากไม่หยุดจริงๆ แถมได้เห็นป๋าอาร์โนลด์กลับมาจับปืนบู๊อีกครั้งทำให้นึกถึงหนังแอ๊คชั่นเก่าๆ ที่ป๋าอาร์โนลด์เคยเล่นตอนผมเป็นเด็ก แต่ในมาดนายอำเภอนี้คงไม่เคยเห็นกันแน่ๆ

หนังเรื่องนี้ แม้ว่าป๋าอาร์โนลด์ จะไม่ได้ออกแรงบู๊มากเหมือนเรื่องก่อนๆ แต่เป็นนักแสดงที่ขึ้นจอมาก ดูแล้วมีบารมี เป็นนายอำเภอที่คนท้องถิ่นควรนับถือจริงๆ ขณะที่ตัวละครอื่นๆ อย่าง จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์ ก็เป็นตัวเรียกเสียงฮาได้หลายจังหวะ เป็นนักแสดงสมทบที่บทน้อยแต่โดดเด่นกว่าคนอื่นครับ อาจจะเป็นเรื่องถนัดสำหรับเค้าเพราะเป็นทั้งโปรดิวเซอร์และนักแสดงของ Jackass นอกจากนั้นคนอื่นๆ ก็เป็นเพียงตัวประกอบธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แม้กระทั่งโรดริโก้ ซานโตโร่ ในบทของแฟรงค์ ก็ยังดูไม่ค่อยมีบทบาท แทบไม่น่าเชื่อว่าเคยเล่นเป็นกษัตริย์เซอร์ซีสใน 300 ฟอเรสท์ วิเทเกอร์ ในบทของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ จอห์น แบนนิสเตอร์ ดูเป็นหัวหน้าเอฟบีไอที่ซีเรียสตลอดเวลา แต่ก็ยังทำให้เราฮาได้บ้าง ดาเนี่ยล เฮนนี่ย์ พระเอกเกาหลี น่าเสียดายที่บทน้อยเกินไปหน่อย เลยไม่ได้โอกาสแสดงฝีมือซักเท่าไหร่ ส่วนผู้ร้ายตัวหลักของเรื่อง เกเบรียล คอร์เตซ รับบทโดยนักแสดงชาวสเปน เอดูร์อาโด้ โนริเอก้า โดยส่วนตัวผมว่าหนุ่มเกินไปที่จะเป็นโคตรเจ้าพ่อค้ายา แต่แววตามีเลศนัยของเค้าก็พอจะทำให้เราเชื่อได้ว่ามันเลวจริงๆ หนังเรื่องนี้สนุก ไม่น่าเบื่อ เดินเรื่องเร็ว แม้จะเป็นเพียงหนังแอ๊คชั่นดาดๆ แต่ถ้าดูเอามันส์ล่ะท่านได้แน่นอนครับ ตอนนี้ออกมาเป็นแผ่นมาสเตอร์แล้วอย่าลืมไปอุดหนุนกันด้วยนะครับ

The Last Stand

Review: Red Dawn หน่วยรบพันธุ์สายฟ้า

Red Dawn



Red Dawn เป็นหนังแอ๊คชั่นรีเมคของต้นฉบับปี 1984 ที่นำแสดงโดย Patrick Swayze ซึ่งต้นฉบับเป็นหนังฮิตเรื่องนึงในสมัยนั้นครับ แม้จะเปลี่ยนศัตรูในเรื่อง แต่โดยรวมแล้วก็มาแนวเดียวกัน หนังได้ดาราวัยรุ่นมาเป็นจุดขายครับ นำทีมโดย Chris Hemsworth ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีในบทของเทพค้อนแห่งแอสการ์ด "ธอร์"


เกริ่นกันซักนิดนึงว่า Red Dawn ในปี 1984 มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการบุกแผ่นดินสหรัฐฯ ของ 3 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย นิคารากัว และคิวบา ขณะที่ Red Dawn ปี 2012 นี้เปลี่ยนแปลงบท 2 รอบเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน กลายเป็นกองทัพเกาหลีเหนือที่มาบุกยึดอำนาจบนแผ่นดินมะกันแบบไม่ทันตั้งตัว (ที่เปลี่ยน 2 รอบ เพราะเดิมทีจะเป็นกองทัพจากประเทศจีนที่บุกมะกัน แต่เป็นเพราะบริษัทจีนให้ออกทุนให้กับสตูดิโอหนัง ทำให้ต้องเกลาบทใหม่ และกลายเป็นกองทัพเกาหลีเหนือ)

Red Dawn

หนังแนะนำตัวละครอย่างเจ๊ด (Chris Hemsworth) เป็นพี่ชายของแม็ต (Josh Peck) ซึ่งมีคุณพ่อเป็นตำรวจ สำหรับเจ๊ดเป็นทหารประจำการอยู่อิรักมานานกว่า 6 ปี ส่วนแม๊ตยังเป็นนักเรียนไฮสคูล นอกจากนี้ยังมีตัวละครวัยรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Josh Hutcherson (ที่เพิ่งมีผลงานใน The Hunger Game: Catching Fire ในบทของพีต้า) รับบทเป็นโรเบิร์ต ซึ่งบทน้อยมากและไม่เด่นเท่าสองคนแรก อีกคนคือ Adirene Palicki (ซึ่งกำลังจะมีผลงานใหม่ใน G.I. Joe: Retaliation)รับบทเป็นโทนี่ ซึ่งเป็นเพื่อนของแม๊ต แต่ดูจะมีใจให้กับเจ๊ด และอีกคนคือ Isabel Lucas เป็นเอริก้า แฟนสาวคนสวยของแม๊ต

Red Dawn

หนังเริ่มต้นเรื่องด้วยการจับข่าวในสถานการณ์ที่เกี่ยวกับเกาหลีเหนือมายำแล้วแปะเอาไว้ให้ดูกันแบบลวกๆ ก่อนจะกล่าวถึงตัวละครวัยรุ่นในเรื่องซึ่งเป็นตัวหลักในการเดินเรื่อง Chris Hemsworth ดูโดดเด่นกว่าใคร ทั้งในเรื่องรูปร่างที่สูงใหญ่และดูเป็นผุ้ใหญ่มากกว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เกาหลีเหนือบุกอเมริกาบ้านเกิดทำให้เค้าควบคุมสติและประเมินสถานการณ์ เจ๊ดพาวัยรุ่นในละแวกใกล้เคียงตามไปยังบ้านพักลับๆ ที่เค้าและแม๊ตมักจะมาอยู่ด้วยกันสมัยเด็กๆ เพราะกองกำลังเกาหลีเหนือไม่ได้มาแบบมิตรสหาย พวกเค้าเปิดสงครามบุกยึดแบบไม่ทันตั้งตัว โดยพื้นที่เขต Spokane เป็นพื้นที่รับผิดชอบของผู้กองโช (Will Yun Lee สำหรับลีเคยรับบทเป็นนายพลเกาหลีเหนือมาแล้ว ใน Die Another Day และกำลังมีผลงานใหม่ใน The Wolverine) ผู้กองโชนำกำลังบุกยึดสถานที่ต่างๆ และจับกุมผู้มีอำนาจรวมไปถึงเอริก้าไว้เป็นตัวประกัน และยังฆ่าพ่อของเจ๊ดและแม๊ตอีกด้วย

Red Dawn

เมื่อหลังชนฝา ต้องกล้าสู้ ความคับแค้นใจที่ถูกบุกยึดบ้าน ทำให้ทุกคนฮึดสู้ได้ โดยมีแกนนำเป็นเจ๊ด ตั้งกลุ่ม Wolverine เพื่อสู้กับเกาหลีเหนือ และปลุกระดมคนในพื้นที่ให้ลุกขึ้นสู้เพื่อยึดบ้านคืน เจ๊ดซึ่งมีประสบการณ์มากที่สุด จะวางแผนและสั่งการ รวมไปถึงลุยด้วยตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่เค้ารู้สึกเคลือบแคลงใจมาตลอดคือความวิตกกังวลของน้องชาย แม๊ตคิดถึงเอริก้าอย่างหนัก จนวันนึงก็เกิดเรื่อง เมื่อแม๊ตตัดสินใจเข้าไปช่วยเอริก้าจากรถขนนักโทษ โดยทิ้งภารกิจและพื้นที่ของตนเอง ทำให้เพื่อนคนนึงต้องถูกยิงตาย

ผู้กองโชสั่งให้กองกำลังเร่งหาพื้นที่ซ่อนตัวของกลุ่มและทำลายทิ้ง ทำให้กลุ่มวูล์ฟเวอรีนเสียเพื่อนร่วมรบไป รวมไปถึงกำลังใจที่เริ่มถดถอย แต่ก็มาพบกับทหารนาวิกโยธินสหรัฐ ที่เดินทางมาเพื่อให้ของกลุ่มวูล์ฟเวอรีนช่วยหาเครื่องมือสื่อสารของเกาหลีเหนือ ซึ่งจะอยู่กับผู้ช่วยผู้กองโชตลอดเวลา และนั่นจะนำไปสู่การโจมตีกลับของกองทัพสหรัฐ แต่ปัญหาคือมันอยู่ในใจกลางสถานีตำรวจ ที่ถูกยึดเป็นกองบัญชาการกองกำลังเกาหลีเหนือไปแล้ว พวกเค้าต้องฝ่ากองกำลังทั้งหมดรวมไปถึงรถถังเข้าไปขโมยเครื่องมือสื่อสารดังกล่าวออกมาให้ได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิต

Red Dawn

หนังดำเนินเรื่องได้เร็วไม่อืดไม่น่าเบื่อ มีฉากแอ๊คชั่นให้เห็นบ่อย แต่พลังในการแสดงอารมณ์นั้นน้อยมาก อารมณ์เศร้ามันก็ดูไม่ถึงกับเศร้า อารมณ์ฮึด มันก็ดูไม่ฮึด คำพูดปลุกใจเพื่อปลุกระดมให้คนลุกขึ้นสู้ มันไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกขนลุกได้ หรือโน้มน้าวใจให้ผมรู้สึกอยากจะจับปืนขึ้นมายิงหรือยอมเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อนบ้านเมือง นอกจากนี้พูดถึงเรื่องหลักความจริงแล้ว มันเป็นไปได้เหรอที่ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาจะโดนบุกแบบสายฟ้าแลบโดยไม่ระแคระคายอะไรด้านข่าวกรองเลย ถึงในหนังจะอ้างว่าเกาหลีเหนือมีอาวุธ EMP ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าพังได้ทันที แต่ต้องใช้อาวุธแบบนั้นจำนวนเท่าไหร่ถึงจะพอกับการบุกยึดประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกได้ทั้งประเทศ หรือว่ามันจะง่ายกว่ามั้ยถ้าเกาหลีเหนือจะยิงขีปนาวุธพิสัยไกลติดหัวรบนิวเคลียร์แทนการใช้พลร่มมายึดพื้นที่ สรุปคือ Red Dawn เป็นเพียงหนังแอ๊คชั่นธรรมดา ที่ไม่มีอะไรให้จดจำ ดีนะที่ไม่ได้ไปดูในโรง เช่าแผ่นมาดูยามว่างก็พอครับเรื่องนี้

Review: A Good Day to Die Hard วันดีมหาวินาศ คนอึดตายยาก

Jai Courtney-Bruce Willis_A Good Day to Die Hard


A Good Day to Die Hard หนังบู๊ภาคที่ 5 ของพระเอกที่มักจะได้รับฉายาในเมืองไทยว่า "คนอึด" อย่าง Bruce Willis ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวให้แฟนหนังได้ทัศนากันแล้วครับ ซึ่งผมก็ได้ไปดูสมใจหลังจากรอหนังเรื่องนี้มานาน

ภาคนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าพ่อยอดคนอึดของเราดูแก่หง่อมไปมาก และดูเหมือนหนังเองก็พยายามจะบอกให้คนดูรู้ว่าในอนาคต เราอาจจะไม่ได้เห็นจอห์น แมคเคลน มาบู๊ระเบิดภูเขาเผาตึกให้เราชมกันอีก เพราะการเปิดตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวน จอห์น แมคเคลน จูเนียร์ หรือแจ๊ค ที่แสดงโดย Jai Courtney เป็นนักแสดงที่แทบจะเรียกได้ว่า ถอดแบบป๊ะป๋าแมคเคลนมาเลยทีเดียว ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตา และทรงผม รวมไปถึงการเคลื่อนไหวและการพูดจา

แต่อาจจะมีสิ่งที่แตกต่างอยู่บ้างในด้านทัศนะคติในการทำงาน เพราะสำหรับแมคเคลนตัวพ่อที่เราคุ้นเคยกันดี มักจะเป็นคนที่ไปอยู่ในสถานการณ์แบบผิดที่ผิดเวลา แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัว ไหวพริบบวกกับโชคที่เข้าข้างเสมอ ทำให้แมคเคลนคนพ่อสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างเฉียบขาด ในแบบ One Man Show บุกตะลุยเจอหน้าแล้วท้าฟัน นอกจากนี้สไตล์การจัดการต่อสถานการณ์ทุกครั้งแบบยิงก่อนแล้วค่อยถาม และไม่ไว้ใจใครทำให้เราไม่เคยเห็นว่าจอห์น แมคเคลน จะเสียท่าให้กับวายร้ายที่เป็นผู้หญิงเลย อย่างเช่นที่ปรากฏในภาค 4 และภาคนี้ แม้ว่าวายร้ายสาวๆ เหล่านั้นจะสวยเซ็กซี่อย่างกับนางแบบ ในขณะที่แมคเคลน จูเนียร์ ในหนังเรื่องนี้ เค้าปกปิดตนเองต่อทุกคนด้วยความจำเป็นในหน้าที่ ภารกิจทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน มีแผนสำรองและกำลังสนับสนุน ไม่ทำอะไรวู่วามหรือหวือหวา แม้จะมีประสบการณ์ในการทำหน้าที่อยู่พอสมควร แจ๊คยังคงมีจุดอ่อนอยู่บ้างในการประเมินสถานการณ์ อาจเป็นเพราะชั่วโมงบินของการบู๊กับเหล่าร้ายยังเทียบไม่ได้กับแมคเคลนคนพ่อ แต่ในเวลาคับขันแล้วก็มีทักษะในการทำลายล้างไม่ต่างจากคุณพ่อแมคเคลนเลย นอกจากนี้ก็ยังเป็นคนหัวแข็งหัวรั้น และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างที่เราจะเห็นได้จากบทสนทนาในลิฟต์ ที่แจ๊คอยากจะบอกว่า "ผมก็ทำได้เหมือนพ่อนั่นแหละ"

นอกเหนือจากเสียงปืนและแรงระเบิดในหนังแล้ว A Good Day to Die Hard ยังพยายามบอกให้เรารู้ถึงการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีพร้อมกับการเป็นตำรวจวีรบุรุษนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ตำรวจที่ดีอย่างจอห์น แมคเคลน ทุ่มเทสุดตัวกับการเป็นตำรวจ แต่ชีวิตครอบครัวล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง หย่าร้าง ลูกไม่มองหน้า ไม่แม้แต่จะเรียกเค้าว่าพ่อ แม้ว่าเราจะไม่เคยเห็นน้ำตาของยอดตำรวจอย่างแมคเคลน แต่การบินข้ามโลกมาพบหน้าลูกชายที่เอาแต่เรียกชื่อแทนที่จะเรียกพ่อ ก็ทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจ เมื่อได้ยินแมคเคลนพูดว่า "ทำไมไม่เรียกพ่อ พ่อแกตายไปแล้วเหรอ" ทำให้เรารู้ว่าตำรวจที่ดีมีความเสียสละมากกว่าที่เราคิด

หนังดำเนินเรื่องได้เร็ว ฉากแอ๊คชั่นโลดโผนเสี่ยงตายเยอะมากครับ แต่เสียอย่างเดียวที่ผู้กำกับ John Moore ทำภาคนี้สั้นกว่าภาคก่อนๆ รู้สึกจะยาวเพียง 97 นาที แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปในฉากแอ๊คชั่นครับ หนังมีมุขตลกๆ ปนอยู่พอเป็นพิธี และมีการเสียดสีในแบบของแมคเคลน ถ้าคุณเก๊ตมุขฝรั่งก็คงจะขำนะครับ แถมท้ายเรื่องมีหักมุมนิดๆ ด้วย Bruce Willis กับ Jai Courtney จับมือกันเป็นคู่หูพ่อลูกสร้างวันดีมหาวินาศต้อนรับวาเลนไทน์ได้เป็นอย่างดี Yuliya Snigir นางแบบสาวสวยชาวรัสเซียก็สวยโอโม่จริงๆ Mary Elizabeth Winstead ในบทของลูกสาวแมคเคลน แม้จะบทบาทน้อยไปหน่อย แต่ก็เป็นตัวเสริมให้ตระกูลแมคเคลนดูเป็นครอบครัวกันมากขึ้น ใครที่ไม่รู้จะไปไหนในวันวาเลนไทน์ ไปดูหนังเรื่องนี้ก็ได้ครับถ้าคุณโสด แต่ถ้าจะพาแฟนไปด้วย ต้องแน่ใจว่าแฟนคุณชอบดูหนังแอ๊คชั่นเหมือนกันนะครับ หนังตระกูล Die Hard นั้นดูเอามันส์ครับ ไม่ใช่หนังโรแมนติค เพราะแม้แต่พ่อลูกแมคเคลนยังไม่กอดกันเลย

รีวิวโดย Longman

Copyright Notice

Copyright © 2014 FilmsInbound

All rights reserved.

Powered by Blogger

Super SEO created by Blogger Tuts

Published by GalleryBloggerTemplates.com