Exclusive: Departures ผู้โดยสารขาออก
วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2556 ผมมีโอกาสได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งกิจกกรรมโปรดตอนกลางคืนของผมนั้นแสนจะง่ายดาย มือซ้ายถือขวดเบียร์ มือขวาถือรีโมททีวี การจิบเบียร์พร้อมกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย เป็นนิสัยแย่ๆที่เกาะติดตัวผมไปแล้วแต่นิสัยที่ว่าแย่ของผมนั้นกลับต้องมาพ่ายแพ้ แก่หนังที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน มันกำลังฉายอยู่ในช่องฟรีทีวี รายการ "หนังใหญ่"
โดยปกติแล้ว ผมจะถูกชักจูงได้ง่ายโดยการใช้สี กับสิ่งของหรืออะไรก็แล้วแต่ บางครั้งผมเลือกซื้อยาสีฟันโดยดูแค่สีของกล่อง แค่สีของมันถูกใจผม เรื่องส่วนผสมเยอะแยะอะไรนั้น ก็ไม่มีความหมาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน หนังที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน กำลังชักจูงผมโดยโทนสีของภาพ ณ ช่วงขณะเวลาหนึ่ง ผมวางรีโมททีวีลง และกระดกเบียร์อึกใหญ่ๆ พรวดลงคอ
"ความตาย" กับการรับรู้ของผม ไม่สามารถตีออกมาเป็นค่าคะแนนได้ ใช่ว่าผมจะเข้าใจมันดี ขอโทษด้วย ผมยังไม่เคยตายมาก่อน และไม่ใช่ว่า ผมจะไม่เข้าใจมันเอาเสียเลย ผมเคยสูญเสียญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตอนผมอายุได้ 3-4 ขวบ เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ที่พึ่งเกิดมาได้ 3-4 ปีอย่างผม รับรู้ถึงความตาย ผมจำภาพตัวเอง นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงบันไดบ้าน ผมไม่ได้ร้องไห้เสียใจที่เสียญาติผู้ใหญ่ไปในครั้งนั้น แต่ผมร้องไห้ด้วยความตกใจสุดขีด ที่พึ่มารู้เอาเดี๋ยวนั้นเองว่า “ในสักวัน ทุกคนที่ผมรักต้องตายและผมเองก็ต้องตายเช่นกัน” ........เด็กหนอเด็ก
หนังเรื่องนี้เล่าถึงอาชีพ โนคังชิ ในประเทศญี่ปุ่น ลักษณะงานคือ เมื่อมีคนตายขึ้นมา ญาติผู้ตายจะติดต่อโนคังชิให้มาที่บ้านของผู้ตาย โนคังชิจะทำหน้าที่แต่งตัว แต่งหน้าหวีผม นำศพลงโลง ก่อนที่จะนำศพไปเผาหรือประกอบพิธีกรรมอื่นๆต่อไป จากตัวหนัง คนญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้พิศมัยกับอาชีพนี้เอาซะเลย ทำให้ผมย้อนนึกถึง บทความหนึ่งซึ่งผมเคยอ่านผ่านตาในหนังสือเล่มหนึ่ง (ขอโทษจริงๆผมจำชื่อหนังสือไม่ได้)เขียนเล่าถึงคำตัดเพ้อของชายแก่เจ้าของร้านขายโรงศพ "ตั้งแต่ผมมาทำอาชีพนี้ เพื่อนฝูงที่เคยคบหากัน ก็หายไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ไม่มีเพื่อนแล้ว"
โนคังชิในประเทศญี่ปุ่นเอง ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เป็นอาชีพที่น่ารังเกียจในสายตาผู้คน แต่ที่สะท้อนกลับไปกลับมาในหัว คือความรักในอาชีพ ความเสียสละ ความเป็นมืออาชีพ ที่โนคังชิทำให้ศพที่ดูเย็นชืดกลับมาดูคล้ายมีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่รังเกียจที่จะแตะต้องศพ ทำความสะอาดศพในทุกซอกทุกมุม ด้วยความชำนาญและความประณีต อย่างมีศิลป์และด้วยความเคารพแก่ผู้เสียชีวิต ซึ่งทุกครั้งก็ทำให้ญาติผู้เสียชีวิตที่นั่งเฝ้าสังเกตุการทำงานของเขาอยู่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ ในตอนที่เขาทำงานของเขาเสร็จ ศพแล้วศพเหล่าที่ผ่านฝีมือของเขามา ดูเหมือนแค่กำลังหลับอยู่จริงๆ และสุดท้ายแล้วผู้คนที่รังเกียจอาชีพโนคังชิ จะรู้สึกขอบคุณและเลิกรังเกียจไปเอง ในวันที่เขาเหล่านั้นยกหูโทรศัพท์ เรียกโนคังชิ มาแต่งศพผู้เป็นญาติของตัวเอง
และในหนังบอกเล่าแนวคิดเรื่องความตายไว้อย่างน่าสนใจว่า
ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด ความตายคือประตูบานหนึ่ง ซึ่งนำพาเราไปสู่การเดินทางครั้งใหม่ การเดินทางที่ผู้ที่ออกเดินทางไม่มีโอกาสกลับมาเล่าประสบการณ์ การเดินทางที่ลี้ลับแต่ทว่าเรียบง่าย การเดินทางที่ไม่มีกำหนดการและพวกเราก็สามารถออกเดินทางครั้งใหม่นี้.....ได้ในทุกๆ วัน
คุณคงได้ยินคำพูดประมาณว่า "ทำซะตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาส ดีกว่ามาบอกรักกัน ขอโทษกัน ตอนที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน" มากันเยอะแล้วใช่มั้ยครับ ถึงยังไงซะ ผมก็ยืนยันความหมายตามนั้นจริงๆ เพราะคนที่กำลังจะเดินทางไกล ประตูผู้โดยสารขาออกของเขาเปิดแล้ว ผมว่าเขาไม่มัวมาฟังคำพูดของคนมีชีวิตกระมังครับ
โดย merablur
ภาพยนตร์ Departures
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น