หนังซุเปอร์ฮีโร่ขวัญใจมหาชน หนึ่งในซุเปอร์ฮีโร่คนแรกๆ ของโลกที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1938 จากงานเขียนของ Jerry Siegel และ Joe Shuster กลายมาเป็นหนังมาแล้วหลายต่อหลายภาค แต่นอกจากภาคแรกแล้วที่เหลือก็ดูไม่ค่อยจะเปรี้ยงปร้าง จนกระทั่งปี 2013 การร่วมมือกันระหว่าง 2 ผู้กำกับชั้นยอดจับมือกันรีเมค Superman ในชื่อ Man of Steel โดยกำหนดทิศทางใหม่ ตีความใหม่ นิยามใหม่สำหรับซุเปอร์แมน ที่จะไม่ใช่หนุ่มล่ำบึ๊กใส่กางเกงในสีแดง และเปลี่ยนเสื้อผ้าในตู้โทรศัพท์อีกต่อไป
หนังเรื่องนี้ได้รับการคาดหวังสูงจากแฟนๆ และนักวิจารณ์หนังทั่วโลก เพราะภาคล่าสุดในปี 2006 นั้นล้มเหลว ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะนำกลับมาทำหนังอีก แต่การที่ได้ผู้กำกับอย่าง Zack Snyder และ Christopher Nolan จับมือกันเพื่อรีเมคหนังขึ้นมาใหม่ โดยตีความและกำหนดทิศทางให้หนังใหม่ หนังได้ใส่รายละเอียดในด้านที่มาของ
Superman และพยายามบอกให้เรารู้ว่ารัวอักษร
"S" ที่อยู่บนปกเสื้อไม่ได้ย่อมาจาก
Superman แต่มันหมายถึงสิ่งอื่นที่ทำให้
Kal-El หรือ
Superman ต้องอยู่เพื่อช่วยโลกมนุษย์ สิ่งที่
Kal-El ต้องแบกรับไว้ตั้งแต่ยังคงเป็นทารกตัวน้อย และคอยเวลาที่จะได้ใช้ความสามารถของตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และชี้นำให้มวลมนุษย์เป็นไปในทางที่ดี นี่คือสิ่งที่ชัดเจนมากสำหรับทิศทางใหม่ของหนังที่เดิมทีเรารู้เพียงแค่
"S" ย่อมาจาก
Superman แต่กับ
Man of Steel แล้ว ตัว
"S" มันมีความหมายที่ลึกซึ้ง เปรียบเสมือนคุณงามความดีที่
Jor-El พ่อบังเกิดเกล้าคอยชี้ทางให้กับ
Kal-El ได้สำนึกอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นพลังการแสดงในบทบาทของ
"พ่อ" และ
"ผู้นำครอบครัว" ของ 2 นักแสดงคุณภาพอย่าง Russel Crowe และ Kevin Costner ที่ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับหายนะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ครอบครัว คนรัก ลูก ต้องอยู่รอด และพร้อมแลกด้วยชีวิตโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
สิ่งนึงที่ทำให้ผมอินไปกับเรื่องนี้ คือบทบาทของ Michael Shannon ที่รับบทเป็นนายพลซ๊อด ตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ ด้วยหลักเหตุและผล ผมคิดว่านายพลซ๊อดไม่ใช่คนที่เลวร้ายแต่อย่างใด แต่เป็นผู้นำนักรบที่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เผ่าพันธุ์ของตนอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม ต่อให้ต้องเป็นปีศาจ เค้าก็จะทำ ด้วยใจที่จงรักภักดีในความเป็นชาวคริปตัน และไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์ของตนต้องสูญพันธุ์ ในสายตาของมนุษย์อาจมองว่านายพลซ๊อดคือผู้รุกราน แต่สำหรับลูกน้องผู้ติดตามนายพลซ๊อด เค้าคือผู้นำที่แข็งแกร่งและพร้อมจะทำตามบัญชาอย่างเคร่งครัด การมาของนายพลซ๊อดจึงดูเป็นเรื่องหายนะของโลก ลองคิดดูว่าถ้าหากเค้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ซุเปอร์แมนกลายเป็นพวกเดียวกันได้ หรือเอาบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญต่อเผ่าพันธุ์คริปตันไปจากซุเปอร์แมนได้ จักรวาลทั้งหมดจะตกเป็นของเผ่าพันธุ์คริปตันอย่างไม่ต้องสงสัยครับ แต่โชคดีของมนุษย์ที่ซุเปอร์แมนไม่เอาด้วย และมองว่าเรื่องทั้งหมดคือกรรมที่เกิดจากสิ่งที่ชาวคริปตันทำเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ทำให้ทั้งซุเปอร์แมนและนายพลซ๊อดจำต้องอยู่คนละข้าง เพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองยึดถือ
ในด้านเอฟเฟคต์ เรื่องนี้อลังการงานสร้างสมกับเป็นหนังซุเปอร์แมนครับ ฉากการต่อสู้ที่ดูดุดัน ทรงพลัง ว่องไว รวดเร็วจนตามองแทบไม่ทัน ผมไม่แน่ใจว่าเพราะคริสโตเฟอร์ โนแลน กับแซ๊ค สไนเดอร์ อยากให้ทิศทางของฉากต่อสู้ของหนังเปลี่ยนไปจากเทคนิคเดิมๆ อย่าง
"Bullet Time" ที่ใช้กันมาตั้งแต่หนัง
The Metrix รึเปล่า(ภาพสโลโมชั่นหรือหยุดการเคลื่อนไหว แต่เปลี่ยนมุมกล้อง) แต่ที่แน่ๆ ผมว่ามันน่าสนใจและให้ความรู้สึกที่ระทึกมากๆ ว่าแต่ละครั้งที่ต้องถูกกระแทกลอยทะลุภูเขาลูกนั้นลูกนี้แตกเป็นเสี่ยง ซุเปอร์แมนของเราจะลุกขึ้นได้อีกมั้ย ที่สำคัญคุณต้องไม่กระพริบตาโดยเด็ดขาดไม่งั้นไม่รู้ว่าใครชกใครกระเด็น
สำหรับนางเอกของเรื่อง เอมี่ อดัมส์ ในบทของโลอิส เลน เหยี่ยวข่าวสาวสวยรวยเสน่ห์ก็เหมาะสมแล้วที่จะทำให้ซุเปอร์แมนของเราหลงรัก เธอดูสวยและเซ็กซี่โดยไม่ต้องแต่งชุดเซ็กซี่หรือนุ่งน้อยห่มน้อยเลยครับ แค่ชุดสาวออฟฟิศก็ดูดีแล้ว
ข้อเสียของเรื่องก็เห็นจะเป็นช่วงเล่าเรื่องบางจังหวะที่เร็วเกินไป ไม่ได้บอกความเป็นมาแต่จู่ๆ มาโผล่เป็นแบบนี้ได้ซะงั้น และที่สำคัญมีสิ่งนึงที่ผมเห็นเป็นข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่อยากสปอยล์ ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นครับ แต่ข้อเสียทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้อรรถรสของหนังเสียหายไปเท่าไหร่ ผมว่าถ้าคุณดูแล้วยังไงๆ ก็ต้องฟินไปตามหนัง อารมณ์ของหนัง และเสียงดนตรีประกอบที่ Hans Zimmer ทำสกอร์ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ