ดูแรมโบ้กับคนเหล็กช่วยกันแหกคุก ในตัวอย่างหนัง Escape Plan

ตัวอย่างหนัง Escape Plan


2 สุดยอดนักแสดงหนังแอ๊คชั่นระดับตำนานได้จับมือกันเล่นหนังร่วมกันอีกครั้ง ใน Escape Plan หนังแอ๊คชั่นทริลเลอร์แหกคุกที่จับเอานักแสดงเจ้าของฉายาพ่อยอดชายนาย "แรมโบ้" Sylvester Stallone และนักแสดงเจ้าของฉายา "คนเหล็ก" Arnold Schwarzenegger มาประชันบทบาทกันแบบเต็มตัว


เดิมทีหนังเรื่องนี้มีชื่อว่า The Tomb ครับ ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็น Escape Plan เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องได้อย่างชัดเจน มีผู้กำกับชาวสวีดิช Mikael Hafstrom ซึ่งเคยมีผลงานเด่นๆ อย่าง 1408 และ The Rite มานั่งแท่นผู้กำกับครับ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ "สไล" ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน กับ "อาร์นี่" อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ มาเล่นหนังด้วยกัน (ทั้งคู่เคยแสดงร่วมกันใน The Expendables 1,2) แต่เรื่องนี้ทั้งคู่ต้องจับมือกันเป็นคู่หูร่วมกันแหกคุกนรก ปราการสุดแกร่งที่ไม่เคยมีนักโทษคนใดแหกคุกหนีออกมาได้เลยแม้แต่คนเดียว หนังยังมีนักแสดงคนอื่นๆ อย่าง Jim Caviezel, Vinnie Jones, Amy Ryan, Vincent D'Onofrio, 50 Cent, Sam Neill ร่วมแสดงครับ แม้ว่า "อาร์นี่" จะดูมีบทบาทมากกว่าใน The Expendables แต่จากตัวอย่างหนังฉบับนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า "สไล" ยังดูโดดเด่นกว่า "อาร์นี่" แม้ว่าทั้งคู่จะอายุรวมกันเกิน 130 ปีแล้ว แต่ยังเล่นบทบู๊ได้สบายๆ ครับ ผมเห็นมีชาวเน็ตบางคนแสดงความคิดเห็นแบบขำๆ ว่า "การจับเอาแรมโบ้กับคนเหล็กมาไว้ในคุกเดียวกันเป็นเรื่องที่ Bad Idea จริงๆ"

ตัวอย่างหนัง Escape Plan

เรื่องย่อ Escape Plan

เรื่องราวของ เรย์ เบรสลิน (Stallone) ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัย เป็นผู้วิเคราะห์ระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูงของเรือนจำทุกแห่ง และยังมีทักษะในการเอาตัวรอดที่ดี แต่ความรู้ความสามารถของเรย์กำลังจะถูกทดสอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าต้องแหกคุกที่เค้าเป็นคนออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยซะเอง เรย์ได้พบกับสวอน ร๊อทเมเยอร์ (Schwarzenegger) นักโทษหัวโจกรุ่นใหญ่ในเรือนจำ ทั้งคู่ต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางหนีออกจากคุกที่แข็งแกร่งที่สุด รวมไปถึงการค้นหาผู้อยู่เบื้องหลังที่ใส่ร้ายเรย์ให้เข้าคุกอีกด้วย

Escape Plan มีกำหนดฉาย กันยายน 2556 ครับ ชมคลิปตัวอย่างหนัง Escape Plan และโปสเตอร์หนังได้ด้านล่างครับ



โปสเตอร์หนัง Escape Plan

Confirmed: Jeff Goldblum จะกลับมาในหนังภาคต่อ ID4

Jeff Goldblum จะกลับมาในหนังภาคต่อ ID4


ข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับแฟนหนังบล๊อกบัสเตอร์ยุค 90 ครับ เมื่อผู้กำกับ Roland Emmerich ออกมายืนยันผ่านทาง Yahoo! ว่าหนัง Independence Day 2 จะมีนักแสดงนำในภาคแรกกลับมา นั่นคือ Jeff Goldblum และ Bill Pullman ขณะที่นักแสดงคนสำคัญอีกคนอย่าง Will Smith จะกลับมาในฐานะ Cameo เท่านั้นครับ


นับเป็นข่าวดีสำหรับแฟนหนัง ID4 ครับ เมื่อ Jeff Goldblum จะกลับมารับบท David Levinson นักคอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่เคยกู้โลกจากเอเลี่ยนในภาคแรก ส่วน Bill Pullman ที่เคยรับบทเป็นประธานาธิบดีในภาคแรก ภาคนี้อาจจะไม่ใช่ประธานาธิบดีอีกต่อไป เพราะไทม์ไลน์ที่ Roland Emmerich เคยพูดเอาไว้สำหรับภาคนี้จะห่างจากภาคแรก 20 ปี แต่กระนั้น Bill ยังคงเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง ที่แฟนๆ หนังจดจำเค้าได้ดีจากสุนทรพจน์ปลุกใจให้ทุกคนช่วยกันสู้กับศัตรูจากนอกโลก



แต่ก็มีข่าวร้ายสำหรับหลายๆ คนเมื่อ Will Smith จะไม่ได้กลับมาเล่นบทเสืออากาศพิทักษ์โลกอีกครั้ง เพราะเจ้าตัวเรียกค่าตัวแพงเกินไปครับ อย่างไรก็ตามทางผู้กำกับก็เปรยๆ ว่าจะให้เค้าปรากฏตัวในฐานะตัวประกอบครับ

Independence Day 2 มีกำหนดฉาย 3 กรกฎาคม 2015

ตัวอย่างหนัง White House Down ฉบับ 4 นาที

ตัวอย่างหนัง White House Down


Sony Pictures เผยตัวอย่างหนังความยาว 4 นาทีเรื่อง White House Down หนังบุกยึดทำเนียบขาวของผู้กำกับ Roland Emmerich ที่ได้นักแสดงนำอย่าง Channing Tatum, Jamie Foxx, Maggie Gyllenhaal และ Jason Clark มาเป็นตัวเดินเรื่อง หลังจากปล่อยตัวอย่างหนังฉบับแรกเมื่อปลายเดือนมีนาคมครับ


ในปีนี้มีหนังบุกยึดทำเนียบขาวมาก่อนแล้ว 1 เรื่อง นั่นคือ Olympus Has Fallen ของผู้กำกับ Antoine Fuqua ซึ่งถึงแม้ว่าหนังทั้ง 2 เรื่องนี้จะมีความเหมือนกันที่โลเกชั่น แต่เนื้อเรื่องแตกต่างกันครับ ใน OHF ไมค์ แบนนิ่ง คืออดีตหัวหน้าหน่วยตำรวจลับที่ถูกประธานาธิบดีลดความสำคัญ และต้องคุ้มกันประธานาธิบดีอยู่แล้ว ขณะที่ WHD จอห์น เกล ยังไม่ได้เป็นตำรวจลับ แต่บังเอิญมาทำเนียบขาวในวันบุกยึดพอดี จึงต้องคลี่คลายสถานการณ์ด้วยตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องย่อ White House Down

Channing Tatum รับบทเป็นจอห์น เกล ตำรวจหนุ่มของกรมตำรวจวอชิงตันดีซี มาสมัครเป็นตำรวจลับที่ทำเนียบขาว โดยพาลูกสาวมาเดินเที่ยวด้วย แต่เกลถูกปฏิเสธ ก่อนที่ผู้ก่อการร้ายจะเข้ามาโจมตีทำเนียบขาวด้วยอาวุธหนักและมีการจับตัวประกัน เกลจึงเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดนี้โดยบังเอิญ ทำให้เค้าต้องแก้ไขสถานการณ์ ช่วยลูกสาวของตน และคุ้มกันประธานาธิบดีให้ปลอดภัย รวมถึงช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากภัยคุกคามนี้ด้วย

ดูกันตามตัวอย่างหนังฉบับนี้แล้วได้กลิ่นอายของหนังคู่หูเยอะเลยครับเมื่อดูตัวละครอย่างจอห์น เกล ตำรวจหนุ่มที่ต้องจับคู่ลุยกับประธานาธิบดี ผู้ซึ่งดูจะเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับเกลในการต่อกรกับเหล่าผู้ก่อการร้าย แต่ดูเหมือนว่ายิ่งจับคู่กันไปนานเท่าไหร่ ความคุ้นเคยกันยิ่งมากเท่านั้น และดูเหมือนจะกลายเป็นคู่ซี้คู่ฮาตะลุยกองโจรครับ มุขใส่แว่นตอนท้ายทำให้ผมก๊ากจริงๆ

White House Down กำกับโดย Roland Emmerich นำแสดงโดย Channing Tatum, Jamie Foxx, Maggie Gyllenhaal และ Jason Clark หนังมีกำหนดเข้าฉายในเมืองไทย 29 สิงหาคม 2556 ครับ คอหนังบู๊ไม่ควรพลาด ชมตัวอย่างหนัง และโปสเตอร์หนังด้านล่างครับ



White House Down Poster

Review: Man of Steel บุรุษเหล็กซุเปอร์แมน

Review: Man of Steel


หนังซุเปอร์ฮีโร่ขวัญใจมหาชน หนึ่งในซุเปอร์ฮีโร่คนแรกๆ ของโลกที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1938 จากงานเขียนของ Jerry Siegel และ Joe Shuster กลายมาเป็นหนังมาแล้วหลายต่อหลายภาค แต่นอกจากภาคแรกแล้วที่เหลือก็ดูไม่ค่อยจะเปรี้ยงปร้าง จนกระทั่งปี 2013 การร่วมมือกันระหว่าง 2 ผู้กำกับชั้นยอดจับมือกันรีเมค Superman ในชื่อ Man of Steel โดยกำหนดทิศทางใหม่ ตีความใหม่ นิยามใหม่สำหรับซุเปอร์แมน ที่จะไม่ใช่หนุ่มล่ำบึ๊กใส่กางเกงในสีแดง และเปลี่ยนเสื้อผ้าในตู้โทรศัพท์อีกต่อไป


หนังเรื่องนี้ได้รับการคาดหวังสูงจากแฟนๆ และนักวิจารณ์หนังทั่วโลก เพราะภาคล่าสุดในปี 2006 นั้นล้มเหลว ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะนำกลับมาทำหนังอีก แต่การที่ได้ผู้กำกับอย่าง Zack Snyder และ Christopher Nolan จับมือกันเพื่อรีเมคหนังขึ้นมาใหม่ โดยตีความและกำหนดทิศทางให้หนังใหม่ หนังได้ใส่รายละเอียดในด้านที่มาของ Superman และพยายามบอกให้เรารู้ว่ารัวอักษร "S" ที่อยู่บนปกเสื้อไม่ได้ย่อมาจาก Superman แต่มันหมายถึงสิ่งอื่นที่ทำให้ Kal-El หรือ Superman ต้องอยู่เพื่อช่วยโลกมนุษย์ สิ่งที่ Kal-El ต้องแบกรับไว้ตั้งแต่ยังคงเป็นทารกตัวน้อย และคอยเวลาที่จะได้ใช้ความสามารถของตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และชี้นำให้มวลมนุษย์เป็นไปในทางที่ดี นี่คือสิ่งที่ชัดเจนมากสำหรับทิศทางใหม่ของหนังที่เดิมทีเรารู้เพียงแค่ "S" ย่อมาจาก Superman แต่กับ Man of Steel แล้ว ตัว "S" มันมีความหมายที่ลึกซึ้ง เปรียบเสมือนคุณงามความดีที่ Jor-El พ่อบังเกิดเกล้าคอยชี้ทางให้กับ Kal-El ได้สำนึกอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นพลังการแสดงในบทบาทของ "พ่อ" และ "ผู้นำครอบครัว" ของ 2 นักแสดงคุณภาพอย่าง Russel Crowe และ Kevin Costner ที่ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับหายนะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ครอบครัว คนรัก ลูก ต้องอยู่รอด และพร้อมแลกด้วยชีวิตโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด

General Zod

สิ่งนึงที่ทำให้ผมอินไปกับเรื่องนี้ คือบทบาทของ Michael Shannon ที่รับบทเป็นนายพลซ๊อด ตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ ด้วยหลักเหตุและผล ผมคิดว่านายพลซ๊อดไม่ใช่คนที่เลวร้ายแต่อย่างใด แต่เป็นผู้นำนักรบที่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เผ่าพันธุ์ของตนอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม ต่อให้ต้องเป็นปีศาจ เค้าก็จะทำ ด้วยใจที่จงรักภักดีในความเป็นชาวคริปตัน และไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์ของตนต้องสูญพันธุ์ ในสายตาของมนุษย์อาจมองว่านายพลซ๊อดคือผู้รุกราน แต่สำหรับลูกน้องผู้ติดตามนายพลซ๊อด เค้าคือผู้นำที่แข็งแกร่งและพร้อมจะทำตามบัญชาอย่างเคร่งครัด การมาของนายพลซ๊อดจึงดูเป็นเรื่องหายนะของโลก ลองคิดดูว่าถ้าหากเค้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ซุเปอร์แมนกลายเป็นพวกเดียวกันได้ หรือเอาบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญต่อเผ่าพันธุ์คริปตันไปจากซุเปอร์แมนได้ จักรวาลทั้งหมดจะตกเป็นของเผ่าพันธุ์คริปตันอย่างไม่ต้องสงสัยครับ แต่โชคดีของมนุษย์ที่ซุเปอร์แมนไม่เอาด้วย และมองว่าเรื่องทั้งหมดคือกรรมที่เกิดจากสิ่งที่ชาวคริปตันทำเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ทำให้ทั้งซุเปอร์แมนและนายพลซ๊อดจำต้องอยู่คนละข้าง เพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองยึดถือ

ในด้านเอฟเฟคต์ เรื่องนี้อลังการงานสร้างสมกับเป็นหนังซุเปอร์แมนครับ ฉากการต่อสู้ที่ดูดุดัน ทรงพลัง ว่องไว รวดเร็วจนตามองแทบไม่ทัน ผมไม่แน่ใจว่าเพราะคริสโตเฟอร์ โนแลน กับแซ๊ค สไนเดอร์ อยากให้ทิศทางของฉากต่อสู้ของหนังเปลี่ยนไปจากเทคนิคเดิมๆ อย่าง "Bullet Time" ที่ใช้กันมาตั้งแต่หนัง The Metrix รึเปล่า(ภาพสโลโมชั่นหรือหยุดการเคลื่อนไหว แต่เปลี่ยนมุมกล้อง) แต่ที่แน่ๆ ผมว่ามันน่าสนใจและให้ความรู้สึกที่ระทึกมากๆ ว่าแต่ละครั้งที่ต้องถูกกระแทกลอยทะลุภูเขาลูกนั้นลูกนี้แตกเป็นเสี่ยง ซุเปอร์แมนของเราจะลุกขึ้นได้อีกมั้ย ที่สำคัญคุณต้องไม่กระพริบตาโดยเด็ดขาดไม่งั้นไม่รู้ว่าใครชกใครกระเด็น

สำหรับนางเอกของเรื่อง เอมี่ อดัมส์ ในบทของโลอิส เลน เหยี่ยวข่าวสาวสวยรวยเสน่ห์ก็เหมาะสมแล้วที่จะทำให้ซุเปอร์แมนของเราหลงรัก เธอดูสวยและเซ็กซี่โดยไม่ต้องแต่งชุดเซ็กซี่หรือนุ่งน้อยห่มน้อยเลยครับ แค่ชุดสาวออฟฟิศก็ดูดีแล้ว

ข้อเสียของเรื่องก็เห็นจะเป็นช่วงเล่าเรื่องบางจังหวะที่เร็วเกินไป ไม่ได้บอกความเป็นมาแต่จู่ๆ มาโผล่เป็นแบบนี้ได้ซะงั้น และที่สำคัญมีสิ่งนึงที่ผมเห็นเป็นข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่อยากสปอยล์ ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นครับ แต่ข้อเสียทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้อรรถรสของหนังเสียหายไปเท่าไหร่ ผมว่าถ้าคุณดูแล้วยังไงๆ ก็ต้องฟินไปตามหนัง อารมณ์ของหนัง และเสียงดนตรีประกอบที่ Hans Zimmer ทำสกอร์ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ

Exclusive: 00:00

Midnight's Children

ถ้าเปรียบอินเดียเป็นกระป๋องน้ำอัดลม และวัฒนธรรมอินเดียเป็นน้ำหวานในกระป๋อง พนันได้เลยว่า เมื่อไหร่ที่เปิดกระป๋องน้ำอัดลมนี้ น้ำหวานต้องพุ่งเข้ากระแทกหน้าผู้ที่เปิดเป็นแน่

อินเดีย..ประเทศซึ่งมีภาษาพูดใช้กันหลักๆ 16 ภาษา และภาษาถิ่นอีกกว่า 100 ภาษา เป็นไปได้ว่า การประดิษฐ์ดิกชันนารี อาจเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ดีทีเดียวในอินเดีย นอกจากนั้น อินเดียยังเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาพุทธและพราหมณ์ มีศาสนาให้เลือกนับถือศรัทธากันทั้งฮินดู อิสลาม ศริสต์ พุทธ รวมๆ แล้วมีประมาณ 400 ศาสนาทั่วทั้งอินเดีย


ด้วยความหลากหลายในแขนงแต่งต่างๆ ที่รวมกันอยู่ในประเทศนี้ ทำให้ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ที่เล่าถึงอินเดีย มักจะมีความสดใหม่รออยู่เสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง The Darjeeling Limited(2007), Slumdog Millionaire (2008), Life of Pi (2012) จนมาถึง Midnight's Children (2012)

อินเดีย ที่ถูกปกครองโดยอักกฤษมานานกว่า 70 ปี กำลังรอห้วงเวลาสำคัญ 00:00 ของวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 การเกิดใหม่ของอินเดีย กับการแกะห่อของขวัญวันเกิดชิ้นแรก สิ่งที่อยู่ข้างในคืออิสรภาพ แต่เที่ยงคืนเดียวกันนั้น ไม่ได้มีแค่อินเดีย ที่เกิดใหม่ แต่ยังมีกลุ่มเด็กจำนวนหนึ่งซึ่งคลอดออกมาใกล้ๆ กับช่วงที่อินเดียประกาศอิสรภาพ กลุ่ม "เด็กเที่ยงคืน" พวกเขาเรียกตัวเองว่าอย่างนั้น

กลุ่มเด็กซึ่งจะเติบโตไปพร้อมๆกับอินเดียยุคใหม่ ดำเนินชีวิตร่วมกับประวัติศาสตร์ของอินเดีย ผ่านกลุ่มชาติพันธ์ ผ่านศาสนา ชนชั้นวรรณะ และแน่นอน นโยบายของรัฐ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการบอกว่าชีวิตควรหรือไม่ควร ดำเนินไปในทางใดในประเทศอินเดีย

แต่ถึงกระนั้น เด็กชายผู้มีจมูกที่โตเป็นพิเศษ ผู้เกิดมาพร้อมพลังวิเศษก็ยังได้รับเพลงกล่อมเด็กประจำตัว มีเนื้อหาเชิง "เจ้าจะเป็นอะไรก็ได้ ตามที่เจ้าต้องการ" บอกเป็นนัยว่า “เราสามารถออกแบบชีวิตเราได้ ไม่มากก็น้อย”

หากตัดเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปให้หมด

หากปลายปากกาของผู้ประพันธ์ผลงาน ไม่ลากไปโดนปมประวัติศาสตร์การเมืองอินเดีย อาจจะพอเห็นภาพของ Forrest Gump เวอร์ชั่นภารตะได้ลางๆ ซึ่งแปลว่า
เล่าเรื่องร้ายได้ตลก อบอุ่นและไม่อาจคาดเดา

โดย merablur
ภาพยนตร์ Midnight's Children

Review: Now You See Me อาชญากลปล้นโลก

Review: Now You See Me

หนังปล้นสะท้านโลกของผู้กำกับหลุยส์ เลเตอเรียร์ ที่ทำตัวอย่างหนังออกมาน่าดูชมและน่าสนใจมาก กับการใช้มายากลขั้นเทพในการหลอกตาคนดู และนำไปสู่การปล้นครั้งใหญ่ ที่พอเราได้ดูตัวอย่างหนังแล้วต้องอึ้ง ทำให้ผมคาดหวังกับหนังเรื่องนีไว้สูงมาก หลังจากที่เคยดูหนังมายากลอย่าง The Prestige ที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างแล้วค้างอีก จึงคิดว่า Now You See Me น่าจะทำให้ผมต้องอ้าปากค้างได้อีกครั้ง


หนังเรื่องใหม่ของผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์หนังดังอย่าง Transporter ที่โปรโมตหนังได้อย่างน่าสนใจเอามากๆ ที่ใช้การแสดงมายากลมาเป็นตัวชูโรง ซึ่งเป็นฉากบังหน้าสำหรับการปล้นครั้งใหญ่ หนังเรื่องนี้ได้ตัวนักมายากลระดับโลกตัวจริงอย่าง เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ มาเป็นที่ปรึกษา ขณะที่นักแสดงนำทุกคนที่เล่นเป็นนักมายากล "จตุรอาชา" เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก ที่ดูจะเป็นดาราชูโรงของหนังเรื่องนี้ แต่การแสดงที่น่าประทับใจของเค้ามีเพียงฉากที่อยู่ในห้องสอบสวน และการลวงเอาข้อมูลเท่านั้น ขณะที่วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน ซึ่งเป็นนักมายาจิต ดูจะประสบความสำเร็จที่สุดในการเข้าถึงตัวละครที่ถนัดการสะกดจิตคนดู และสามารถสร้างความอึ้ง ทึ่ง ให้เราได้ทุกครั้งที่เค้าร่ายมนต์สะกด ส่วนอิสล่า ฟิชเชอร์ก็ดูสวยและดึงดูดความสนใจได้ดี ถ้ามีผู้ช่วยนักมายากลสวยๆ แบบนี้จะเบนความสนใจได้แน่นอนครับ สุดท้ายคือเดฟ ฟรังโก้ ต้องบอกว่าซีนการต่อสู้ด้วยมายากลเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเรื่องแล้ว และผมรู้สึกว่ามันตื่นเต้นยิ่งกว่าฉากแสดงมายากลทั้งหมดของเหล่า "จตุรอาชา" ซะอีก ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ อย่างมาร์ค รัฟฟาโล ก็เป็นตัวสำคัญที่ทำให้มายากลของเหล่าอาชาดูเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเหนือชั้น ส่วนเมลานี่ โลรองต์ เป็นสาวฝรั่งเศสที่มีเสน่ห์มากๆ จนเราตกหลุมพรางของหนังไปได้อย่างง่ายดาย มอร์แกน ฟรีแมน นักแบไต๋มายากลที่รอบรู้และพร้อมเปิดเผยเคล็ดของนักมายากลทุกคน ไมเคิล เคน ก็สลัดคราบของอัลเฟรดไปได้หมด กลายเป็นนายทุนโลภมากไปได้อย่างสมบทบาท

หนังเดินเรื่องได้เร็ว พยายามเล่าถึงความเป็นมาของนักมายากลและพวกแบไต๋มายากล มีการสร้างฉากสำหรับมายากลที่เอาไว้หลอกคนดูหลายฉาก ทั้งนี้เพราะปกติการแสดงมายากลที่น่าตื่นเต้น ทำให้คนต้องคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยคิดว่าจะเผยไต๋ของมายากลนั้นได้ หนังเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน มันหลอกเราๆ ท่านๆ มาตั้งแต่โปสเตอร์หนังแล้วครับ แม้ว่าจะใช้เหล่านักมายากลจตุรอาชาเป็นชูโรง ตัวเดินเรื่อง แต่จริงๆ หนังเดินเรื่องด้วยตัวละครที่เราคาดไม่ถึง และทุกคนที่ดูหนังจะถูกหลอกโดยไม่รู้ตัวครับ หนังจะให้เราดูมายากลแต่ละอัน และเฉลยให้เราดูทีละอัน ก่อนที่จะเฉลยปมเรื่องทั้งหมดช่วงท้ายเรื่อง ที่ทำให้เราได้อึ้งครับ แต่น่าเสียดายที่ความสนุกของมันไม่สุด ไม่สุดจริงๆ หนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่ดี แต่มันควรจะรู้สึกสนุกมากกว่านี้ มันรู้สึกไม่อิ่ม กินอร่อยแต่ไม่อิ่ม พอจบเรื่องแล้วก็ไม่รู้สึกว่าประทับใจ หรือว่าผมจะตั้งความหวังไว้สูงเกินไป แต่โดยรวมแล้วหนังทำได้ตามคำลวงของหนังที่ว่า
"Look closely, because the closer you think you are the less you'll actually see."
"จงมองดูอย่างใกล้ชิด เพราะยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมองไม่เห็นความจริงมากเท่านั้น" แน่นอนครับ ตัวอย่างหนังหลอกว่าน่าสนุกที่สุด แต่เอาเข้าจริงไม่สนุกอย่างที่ผมหวังไว้ แต่อย่างไรก็ตามหลุยส์ เลเตอเรียร์ก็หลอกคนดูได้สำเร็จครับ 7/10 ครับสำหรับเรื่องนี้

อันดับหนังทำเงินสุดสัปดาห์สหรัฐ วันที่ 31 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2013

Fast and Furious 6

อันดับหนังทำเงินสุดสัปดาห์สหรัฐ ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2013 อันดับหนึ่งหนังทำเงินสุดสัปดาห์นี้ Fast and Furious 6 เร็วแรงทะลุนรกสมชื่อครับ กับภาคที่ 6 ของแฟรนไชส์หนังตระกูล Fast ยังคงแรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ครองแชมป์หนังทำเงินติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 ด้วยรายได้ 35,164,440 เหรียญ รวม 2 สัปดาห์ทำเงินไปแล้วกว่า 171,003,965 เหรียญ

อันดับ 2 ตกเป็นของ Now You See Me หนังทริลเลอร์มายากลปล้นสะท้านโลก เปิดตัวสุดสัปดาห์นี้ด้วยรายได้ 29,350,389 เหรียญครับ


อันดับ 3 After Earth หนังไซไฟทริลเลอร์ของวิล สมิธ และเจเดน สมิธ พ่อลูกแห่งวงการฮอลลีวู้ด กับการเอาตัวรอดบนโลกที่กลายเป็นดาวเคราะห์ร้างไร้มนุษย์อาศัย เปิดตัวสัปดาห์นี้ด้วยรายได้ 27,520,040 เหรียญ

อันดับ 4 Star Trek Into Darkness หนังแอ๊คชั่นไซไฟทะลุจักรวาลภาคต่อของผู้กำกับเจเจ อับรามส์ ทำรายได้ 16,780,895 เหรียญ รวม 3 สัปดาห์ทำรายได้ไปแล้วกว่า 181,537,381 เหรียญ

ขณะที่หนังอนิเมชั่นอย่าง Epic หนังอนิเมชั่นฝีมือผู้สร้าง Ice Age ยังคงติดอันดับหนังทำเงินในอันดับที่ 5 ด้วยรายได้ 16,616,310 เหรียญ รวม 2 สัปดาห์ทำรายได้ไป 65,377,491 เหรียญครับ

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหนังเข้าใหม่ 2 เรื่อง ทั้ง Now You See Me และ After Earth แต่ก็ยังไม่สามารถแซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Fast and Furious 6 จึงดูเหมือนว่าทั้งคู่ไม่น่าจะทำเงินได้มากไปกว่านี้แล้วครับ ส่วน Star Trek Into Darkness ก็ดูจะน่าผิดหวังในแง่ของรายได้ เพราะมาเปิดตัวใกล้กับ Fast and Furious 6 ที่เป็นหนังมาแรงที่สุดในขณะนี้

USA Box Office May 31 - June 2 2013

อันดับ

ชื่อหนัง

ค่าย

รายได้ (USD)

รวม (USD)

สัปดาห์

1

Fast and Furious 6

Universal

35,164,440

171,003,965

2

2

Now You See Me

Lionsgate

29,350,389

29,350,389

1

3

After Earth

Columbia

27,520,040

27,520,040

1

4

Star Trek Into Darkness

Paramount

16,780,895

181,537,381

3

5

Epic

Fox

16,616,310

65,377,491

2


ที่มา Box Office Mojo

Copyright Notice

Copyright © 2014 FilmsInbound

All rights reserved.

Powered by Blogger

Super SEO created by Blogger Tuts

Published by GalleryBloggerTemplates.com